tag:blogger.com,1999:blog-73072423659610095422024-03-19T05:58:27.362-07:00แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวmoonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.comBlogger20125tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-82284742667727558812012-01-07T03:02:00.000-08:002012-01-07T03:02:23.339-08:00อารยะธรรมโบราณพันปี ณ ผาแต้ม<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">อารยะธรรมโบราณพันปี ณ ผาแต้ม</span> <span style="color: teal;">ได้รับการ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2534 ครอบคลุมพื้นที่อำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทรมีพื้นที่ติดกับประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน มีพื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร</span><br />
สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงและเนินเขา มีหน้าผาสูงชันซึ่งเกิดจากการแยกตัวของผิวโลก สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าเต็งรัง มีหินทรายลักษณะแปลกตากระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีพันธุ์ไม้ดอกที่สวยงามขึ้นอยู่ตามลานหิน <br />
<br />
การเดินทางจากอำเภอโขงเจียมใช้เส้นทาง 2134 ต่อด้วยเส้นทาง 2112 แล้วแยกขวาไปผาแต้มอีกราว 5 กิโลเมตร รวมระยะทางจากโขงเจียมประมาณ 18 กิโลเมตร สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่ </b></span><br />
<span style="font-size: small;"><b><br />
<span style="color: green;">เสาเฉลียง</span> อยู่ก่อนถึงผาแต้มประมาณ 3 กิโลเมตร เป็นเสาหินธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมนับล้านปี มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดเรียงรายกันอยู่มากมาย ซึ่งหินดังกล่าวจะปรากฏเห็นซากเปลือกหอย กรวด ทราย อยู่ในเนื้อหิน ซึ่งนักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่า เมื่อประมาณล้านกว่าปีมาแล้ว บริเวณนี้คงจะเป็นทะเลมาก่อน ชาวบ้านบริเวณนี้เรียกเสาหินที่คล้ายดอกเห็ดนี้ว่า “เสาเฉลียง” ซึ่งแผลงมาจากคำว่า “สะเลียง” ที่หมายถึง “เสาหิน” <br />
<br />
<span style="color: green;">ผาแต้มและผาขาม</span> เป็นหน้าผาสูงที่สวยงามตามธรรมชาติ บริเวณด้านล่างของหน้าผามีภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏเรียงรายอยู่ เป็นระยะ มีอายุไม่ต่ำกว่าสามพันถึงสี่พันปี ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินจากหน้าผาด้านบนลงไปชมภาพเขียนสีเหล่านี้ที่หน้าผาด้านล่าง ระยะทางประมาณ 500 เมตร</b></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="293" src="http://images.thaiza.com/37/37_20090315115858..jpg" width="450" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
ภาพ เขียนจะอยู่บนผนังหน้าผายาวติดต่อกันประมาณ 170 เมตร ซึ่งเป็นมุมต่ำกว่า 90 องศา มีภาพทั้งหมดประมาณ 300 ภาพ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ สัตว์ เครื่องมือเครื่องใช้ สัญลักษณ์ และคน ด้านตรงข้ามผาแต้มคือ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวโดยมีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นพรมแดน<br />
<br />
ด้วยเหตุนี้ทำให้ผาแต้ม เป็นจุดชมวิวที่สวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจจะชมพระ อาทิตย์ขึ้นก่อนที่แห่งใดในประเทศไทย เช่นเดียวกันกับที่หมู่บ้านเวินบึกที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงไม่ไกล จากบริเวณแม่น้ำสองสีมากนัก ซึ่งทุกวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก <br />
<br />
<span style="color: green;">ถ้ำมืด</span> ตั้งอยู่ที่บ้านซะซอม ตามทางหลวงหมายเลข 2112 เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านทุ่งนาเมือง ประมาณ 15 กิโลเมตร เป็นถ้ำขนาดกว้าง 4 เมตร สูง 6 เมตร ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักเรียงรายกันมากมาย แสดงว่าคงจะเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาก่อน <br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="369" src="http://images.thaiza.com/37/37_20090315115706..jpg" width="450" /></div><br />
<span style="color: green;">น้ำตกสร้อยสวรรค์</span> ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 2112 ห่างจากตัวอำเภอโขงเจียมประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่เกิดจากลำธาร 2 สายคือห้วยสร้อยและห้วยไผ่ที่ไหลจากหน้าผาคนละมาบรรจบกันซึ่งสูงประมาณ 20 เมตร มองดูคล้ายสร้อยที่แขวนคอ บริเวณน้ำตกเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณมีมากในช่วงปลายฝนต้นหนาว น้ำตกสร้อยสวรรค์จะสวยงามมากในช่วงปลายฤดูฝนเช่นเดียวกับน้ำตกอื่น ๆ ในบริเวณนี้ <br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกทุ่งนาเมือง</span> ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 2112 ห่างจากน้ำตกสร้อยสวรรค์ ประมาณ 13 กิโลเมตร โดยมีทางแยกขวาจากบ้านนาโพธิ์กลางไป 10 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีความสวยงาม ไหลลดหลั่นลงมาตามโขดหิน ชั้นบนสูงสุดประมาณ 25 เมตร บริเวณโดยรอบมีดอกไม้ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเดือนตุลาคม-ธันวาคม <br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกแสงจันทร์ (น้ำตกรู)</span> ก่อนถึงน้ำตกทุ่งนาเมือง 1 กิโลเมตร มีทางแยกขวาที่บ้านทุ่งนาเมืองไปน้ำตกแสงจันทร์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความสวยงามและมีลักษณะพิเศษ เกิดจากลำห้วยเล็ก ๆ บนลานหินไหลลอดผ่านหน้าผาหินที่มีลักษณะเป็นรูลงสู่เพิงผาด้านล่าง หากเดินทางมาชมตอนช่วงเที่ยงวัน ซึ่งแสงอาทิตย์ลอดผ่านรูพอดีจะมองเห็นสายน้ำตกเหมือนแสงจันทร์ <br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="279" src="http://images.thaiza.com/37/37_20090315120207..jpg" width="450" /></div><br />
<span style="color: green;">ป่าดงนาทาม</span> อยู่ในบริเวณภูนาทามทางตอนเหนือของอุทยานฯ ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 36 กิโลเมตร การท่องเที่ยวที่ป่าดงนาทามเป็นลักษณะการเดินป่าชมธรรมชาติป่าไม้ ภูผาและแม่น้ำโขง ซึ่งจุดที่น่าสนใจได้แก่ ลานหิน พลานถ้ำไฮ เสาเฉลียงคู่ สนสองใบ น้ำตกห้วยพอก ผาชนะได (จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นก่อนใครในสยาม) ผากำปั่น ผาหินแตก น้ำตกกวางโตน หินโยกมหัศจรรย์ (มีน้ำหนัก 50 ตันแต่โยกได้ด้วยคนเดียว) ภูจ้อมก้อม ถ้ำปาติหารย์ ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ตามหลืบผา เป็นต้น <br />
<br />
สำหรับการท่องเที่ยวตามฤดูกาลต่าง ๆ ในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน จะเหมาะในการชมดอกไม้ตามลานหินเช่น เช่น หยาดน้ำค้าง แดงอุบล เอนอ้า เหลืองพิสมร และทุ่งดอกไม้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้แก่ ดุสิตา สร้อยสุวรรณา มณีเทวา ทิพเกสร สรัสจันทร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี น้ำตกที่มีน้ำมากช่วงกันยายนถึงธันวาคมและทะเลหมอกริมโขง ส่วนในช่วงเดือนฤดูแล้งมกราคม-มีนาคม จะเหมาะในการชมป่าไม้เปลี่ยนสี ดอกไม้หน้าแล้ง อาทิ ต้นรัง ตะแบกเลือด พุดผา ช้างน้าว และล่องเรือชมทิวทัศน์สองฝั่งลำน้ำโขงระหว่างบ้านปากลา-คันท่าเกวียน <br />
<br />
<strong> นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดการเดินป่าดงนาทามได้ที่ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติผาแต้ม หรือที่อบต.นาโพธิ์กลาง (โทร. 0 4538 1063) </strong><br />
<span style="color: green;">วัดภูอานนท์ </span>อยู่ ทางทิศเหนือของบ้านซะซอม ห่างจากถนนหมายเลข 2112 ที่บ้านนาโพธิ์กลาง ประมาณ 10 กิโลเมตร รถยนต์เข้าถึงสะดวก ภายในบริเวณวัดมีสภาพธรรมชาติที่น่าสนใจ เช่น ลานหิน รอยเท้าใหญ่ ตุ่มหินธรรมชาติ ภาพเขียนสีศิลปะถ้ำ เป็นต้น เหมาะสำหรับการท่องเที่ยวชมธรรมชาติในช่วงสั้นๆ <br />
<br />
<span style="color: green;">อุทยานแห่งชาติผาแต้ม</span> ยังไม่มีบริการบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ประสงค์จะค้างแรมในเขตอุทยานแห่งชาติผาแต้มต้องเตรียมอุปกรณ์การพักแรมมา เองและต้องกางเต็นท์ในที่ซึ่งอุทยานฯ จัดเตรียมไว้ให้ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้ที่อุทยานแห่งชาติผาแต้ม ตู้ปณ. 5 อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี 34220 โทร. 0 4524 9780 ,0 4531 8026 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0 2562 0760 www.dnp.go.th</b> </span> <br />
<br />
<span style="font-size: x-small;"><a href="http://www.tat.or.th/"></a></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-18676950753351217142012-01-07T03:00:00.001-08:002012-01-07T03:00:47.366-08:00สัมผัสหมอกหนาที่ภูทับเบิก<div style="font-family: Verdana,sans-serif;"><span style="font-size: small;"><b><span class="style2">สัมผัสหมอกหนาที่ภูทับเบิก</span> </b></span> </div><div style="font-family: Verdana,sans-serif; text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="219" src="http://images.thaiza.com/37/37_200801031411191..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-family: Verdana,sans-serif; font-size: small;"><b><br />
ตั้ง อยู่ที่บ้านทับเบิก ตำบลวังบาล ห่างจากอำเภอหล่มเก่า 40 กิโลเมตร ตามเส้นทางจากหล่มเก่าไปภูหินร่องกล้า หรือห่างจากตัวจังหวัดเพชรบูรณ์ประมาณ 90 กิโลเมตร ภูทับเบิกมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,768 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดของเพชรบูรณ์ <br />
<br />
มีสภาพภูมิประเทศที่สวยงามด้วยธรรมชาติแบบทะเลภูเขา มีอากาศบริสุทธิ์ สภาพภูมิอากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากร่องลมเย็นจากเทือกเขาหิมาลัยและอยู่บนที่สูง จึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล โดยช่วงเช้าจะมองเห็นกลุ่มเมฆ และทะเลหมอกตัดกับยอดเทือกเขาเพชรบูรณ์ <br />
<br />
นอกจากนี้ภูทับเบิกยังเป็นสถานที่ที่สำคัญของจังหวัดเพชรบูรณ์ คือเป็นจุดรองรับน้ำฟ้ากลางหาว (เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2542) เพื่อนำไปรวมเป็นน้ำเพชรน้อมเกล้าถวายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 <br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="252" src="http://images.thaiza.com/37/37_200801031411192..jpg" width="350" /></div><br />
ปัจจุบันภูทับเบิกเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านทับเบิก หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 16 โดยอยู่ในความดูแลของศูนย์พัฒนาสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยอาชีพทำการเกษตรแบบขั้นบันไดตามเชิงเขา <br />
<br />
ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพบเห็นไร่กะหล่ำปลีอยู่สองข้างถนนสู่ทับเบิกสวยงาม ในราวเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีดอกซากุระหรือนางพญาเสือโครงสีชมพูบานสะพรั่งไปทั้งภูเขา นอกจากนี้ในยามค่ำคืนยังมองเห็นแสงไฟระยิบระยับจากบ้านเรือนในอำเภอหล่มสัก ที่อยู่เบื้องล่าง เปรียบได้กับ “ดาวบนดิน” <br />
<br />
จากสภาพดังกล่าว ทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสบรรยากาศที่หนาวเย็น วิถีชีวิตชาวเขา และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ภายใต้คำกล่าวที่ว่า “นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน” สิ่งอำนวยความสะดวก บริเวณหมู่บ้านทับเบิกและจุดชมวิว มีบ้านพัก เต็นท์ และร้านอาหารเปิดบริการแก่นักท่องเที่ยว <br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="227" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080103141119..jpg" width="350" /></div><br />
<span style="color: blue;">การเดินทาง</span> สู่ภูทับเบิก จากเพชรบูรณ์ ใช้ทางหลวงหมายเลข 21 ประมาณ 40 กิโลเมตร ถึงสี่แยกหล่มสัก ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 203 อีก 13 กิโลเมตร พบป้ายบอกทางไปอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตามทางหลวง 2011 และทางหลวงหมายเลข 2331 อีก 40 กิโลเมตร ถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียมของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า <br />
<br />
จากตรงนี้มีทางแยกขวาเข้าหมู่บ้านทับเบิกไปอีก 6 กิโลเมตร เส้นทางจากหล่มเก่ามาภูทับเบิกจะสูงชันและคดเคี้ยวมาก รถบัสไม่สามารถขึ้นได้ ผู้ที่ใช้รถยนต์หรือรถตู้ ควรขับรถด้วยความระมัดระวังอีกเส้นทางหนึ่งใช้เส้นทางด้านอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ผ่านอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เลยที่ทำการอุทยานฯมาประมาณ 24 กิโลเมตร จะถึงภูทับเบิก หากขับรถต่อไปจะมาบรรจบกับเส้นทางที่จะลงไปยังอำเภอหล่มเก่า <br />
ขอบคุณ<br />
http://www.tat.or.th/ </b></span><div style="font-family: Verdana,sans-serif;"><br />
</div>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-87330375647896925602012-01-07T02:59:00.000-08:002012-01-07T02:59:37.740-08:00ดอยอินทนนท์ หนาวนี้ต้องไป<span class="style2">ดอยอินทนนท์ หนาวนี้ต้องไป</span> <br />
<span style="font-size: small;"><b>แต่เดิมดอยอินทนนท์มีชื่อว่า “ดอยหลวง” หรือ “ดอยอ่างกา” ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่าดอยอ่างกานั้น มีเรื่องเล่าว่า ห่างจากดอยอินทนนท์ไปทางทิศตะวันตก 300 เมตร มีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือนอ่างน้ำ แต่ก่อนนี้มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา ต่อมาจึงรวมเรียกว่า ดอยอ่างกา <br />
<br />
ดอยอินทนนท์นี้เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งพาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า และมาสิ้นสุดที่นี่ สิ่งที่น่าสนใจของดอยนี้ไม่เพียงแต่เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศเท่านั้น แต่สภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวัน และบางครั้งน้ำค้างยังกลายเป็นน้ำค้างแข็ง สิ่งต่าง ๆเหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย<br />
การเดินทาง ระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง ถึงหลักกิโลเมตรที่ 57 ก่อนถึงอำเภอจอมทอง ๑ กิโลเมตร แยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1009 สายจอมทอง-อินทนนท์ ระยะทาง 48 กิโลเมตรถึงยอดดอยอินทนนท์ เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชัน รถที่นำขึ้นไปจะต้องมีสภาพดี ผู้ที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวสามารถนั่งรถสองแถวสายเชียงใหม่-จอมทองบริเวณประตู เชียงใหม่ จากนั้นขึ้นรถสองแถวที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหารหรือที่น้ำตกแม่กลาง ซึ่งจะเป็นรถโดยสารประจำทางไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯตรงหลักกิโลเมตรที่ ๓๑ และหมู่บ้านใกล้เคียง แต่หากต้องการจะไปยังจุดต่าง ๆต้องเหมาไปคันละประมาณ 800 บาท <br />
</b></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="221" src="http://images.thaiza.com/37/37_200801031350232..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 9 ของเส้นทางหมายเลข 1009 มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำ และมีนิทรรศการเกี่ยวกับธรรมชาติ สัตว์ป่า และอื่น ๆ <br />
<br />
บริเวณที่ทำการมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม สำรองที่พักล่วงหน้าอย่างน้อย 1 อาทิตย์ที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ โทร. ๐ ๒๕๖๒ ๐๗๖๐ หรือ เว็บไซต์ www.dnp.go.th อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ โทร. ๐ ๕๓๓๕ ๕๗๒๘, ๐ ๕๓๓๑ ๑๖๐๘ เว็บไซต์ www.doiinthanon.com </b></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><br />
<br />
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท ต่างชาติ ผู้ใหญ่ 400 บาท เด็ก 200 บาท <br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong>สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ </strong></span></b></span><div style="text-align: center;"><b><img alt="" height="225" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080103135224..jpg" width="350" /></b></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b><span style="color: green;"> น้ำตกแม่ยะ</span> เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่ง เพราะน้ำซึ่งไหลลงมาจากหน้าผาที่สูงชัน 280 เมตร ลงมากระทบโขดหินเป็นชั้น ๆ เหมือนม่าน แล้วลงไปรวมกันที่แอ่งน้ำเบื้องล่าง น้ำใสเย็นเหมาะสำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งบริเวณรอบ ๆ น้ำตกเป็นป่าเขาอันสงบเงียบ และมีศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยวตั้งอยู่ด้วย บริเวณน้ำตกสะอาดและจัดการพื้นที่ได้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม การเดินทาง จากทางแยกเข้าทางหลวง 1009 ไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าไป 14 กิโลเมตร และต้องเดินเท้าเข้าไปอีก 200 เมตร <br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกแม่กลาง</span> เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ชั้นเดียว สูงประมาณ 100 เมตร ต้นน้ำอยู่บนดอยอินทนนท์ มีน้ำไหลตลอดปี มีความสวยงามตามธรรมชาติ การเดินทาง จากทางแยกเข้าทางหลวง 1009 ไปอีก 8 กิโลเมตร แยกซ้าย 500 เมตร เป็นทางลาดยางตลอด <br />
<br />
<span style="color: green;"> ถ้ำบริจินดา</span> ตั้งอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 8-9 ของทางหลวงหมายเลข 1009 ใกล้กับน้ำตกแม่กลาง จะเห็นทางแยกขวามือมีป้ายบอกทางไปถ้ำบริจินดา ภายในถ้ำลึกหลายกิโลเมตร เพดานถ้ำมีหินงอกหินย้อย หรือชาวเหนือเรียกว่า “นมผา” สวยงามมาก มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในถ้ำด้วย นอกจากนั้น ยังมีธารหิน เมื่อมีแสงสว่างมากระทบจะเกิดประกายระยิบระยับดังกากเพชรงามยิ่งนัก ลักษณะของถ้ำเป็นถ้ำทะลุสามารถมองเห็นภายในได้ถนัด เพราะมีอุโมงค์ซึ่งแสงสว่างลอดเข้ามา บริเวณปากถ้ำจะมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ อธิบายประวัติการค้นพบถ้ำนี้ <br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกวชิรธาร</span> เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมชื่อ “ตาดฆ้องโยง” น้ำจะดิ่งจากผาด้านบนตกลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ในช่วงที่มีน้ำมากละอองน้ำจะสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณรู้สึกได้ถึงความเย็นและ ชุ่มชื้น และสะพานไม้ที่ทอดยาวเข้าไปหาหน้าผานั้นจะเปียกลื่นอยู่ตลอดเวลา แต่หากเดินเข้าไปจนสุดจะได้สัมผัสกับความงามของน้ำตกมากที่สุด การเดินทาง จากเชิงดอยอินทนนท์ขึ้นไปถึงกิโลเมตรที่ 21 จะเห็นป้ายบอกทางแยกขวาเข้าน้ำตก ลงไป 500 เมตร ถนนจะถึงที่ตัวน้ำตก อีกเส้นทางหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางเดิมอยู่เลยจากทางแยกแรกไปประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามป้ายและเดินจากลานจอดรถลงไปอีก 351 เมตร หากใช้เส้นทางนี้จะได้สัมผัสกับความงามของธรรมชาติรอบด้านตลอดทางเดิน <br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกสิริภูมิ</span> ไหลมาจากหน้าผาสูงชัน เป็นทางยาวสวยงามมาก สามารถมองเห็นได้จากบริเวณที่ทำการอุทยานฯ เป็นสายน้ำตกแฝดไหลลงมาคู่กันแต่เดิมเรียกว่า “เลาลึ” ตามชื่อของหัวหน้าหมู่บ้านม้งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ น้ำตกสิริภูมิตั้งอยู่ตรงกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่รถไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวน้ำตกได้ นักท่องเที่ยวต้องเดินเท้าเข้าไปบริเวณด้านล่างของน้ำตก <br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="238" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080103135045..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b><span style="color: green;"> โครงการหลวงดอยอินทนนท์</span> ตั้งอยู่ในบริเวณดอยอินทนนท์ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์เป็นสถานีวิจัยดอกไม้เมืองหนาวเป็นหลัก พรรณไม้ที่ปลูกมากที่สุดคือเบญจมาศ เพราะมีสีสันสดใส นอกจากนั้นยังมีโครงการวิจัยสตรอว์เบอรรี โครงการศึกษาและรวบรวมพันธุ์เฟินชนิดต่างๆ โครงการวิจัยกาแฟ โครงการวิจัยฝรั่งคั้นน้ำ ไม้ผล เช่น สาลี่ พลับ กีวี ทิบทิมเมล็ดนิ่ม ฯลฯ ไม้ดอก เช่น แกลดิโอลัส กุหลาบ เยอบีรา ฯลฯ ผัก เช่น พริกหวาน มะเขือเทศ เซเลอรี ฯลฯ <br />
<br />
ยังมีพืชผักสมุนไพร และไม้ผลขนาดเล็ก ซึ่งจัดจำหน่ายภายใต้ตรา "ดอยคำ" รวมทั้งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงพันธุ์ปลาเทร้าต์สายรุ้ง นอกจากนี้ยังมีประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าสนใจ ได้แก่ การทำนาข้าวขั้นบันไดของเผ่ากะเหรี่ยง ประเพณีกินวอของชาวเผ่าม้งบ้านขุนกลาง และแหล่งท่องเที่ยวเพื่อชมความงามธรรมชาติรอบๆพื้นที่ รวมทั้งกิจกรรมดูนกและชมดาว โครงการหลวงฯ ตั้งอยู่ที่ หมู่บ้านขุนกลาง ตำบลห้วยหลวง เดินทางตามเส้นทางสู่ดอยอินทนนท์ ถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 ของทางหลวงหมายเลข 1009 มีทางแยกขวามือเป็นทางลูกรังเข้าสู่โครงการฯ อีกประมาณ 1 กิโลเมตร โครงการหลวงฯนี้ รับผิดชอบส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมให้แก่กะเหรี่ยงและม้งในพื้นที่ <br />
<br />
<span style="color: green;"> พระมหาธาตุนภเมทนีดล</span> <span style="color: green;">และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ</span> ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือ สร้างขึ้นโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย โดยพระมหาธาตุนภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อพ.ศ. 2530 และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ สร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อพ.ศ. 2535 พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ ฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยม มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ ยอดปลีขององค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา รอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม <br />
<br />
<span style="color: green;"> ยอดดอยอินทนนท์</span> จุดสิ้นสุดของทางหลวงหมายเลข 1009 เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,565 เมตร) มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี เป็นที่ตั้งสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอิน ทวิชยานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหนดอย หลวงเป็นอย่างมากต้องการที่จะอนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วน หนึ่งมาไว้ที่นี่ ศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว อยู่บริเวณใกล้กับยอดดอย แสดงนิทรรศการเรื่องราวของดอยอินทนนท์จากอดีตถึงปัจจุบัน ให้ความรู้ทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ ทางชีววิทยา ป่าไม้ สิ่งมีชีวิต ซึ่งบางชนิดหาดูได้ที่นี่แห่งเดียวในเมืองไทย ผู้มาเยือนจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย <br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกห้วยทรายเหลือง</span> เป็นน้ำตกขนาดกลาง มีน้ำไหลแรงตลอดปี และไหลจากหน้าผาลงมาเป็นชั้น ๆ เข้าทางเดียวกับน้ำตกแม่ปาน ห่างจากที่ว่าการอำเภอแม่แจ่มประมาณ 16 กิโลเมตร แยกจากทางหลวงหมายเลข 1009 ตรงด่านตรวจกิโลเมตรที่ 38 ไปตามทางหลวงหมายเลข 1192 สายอินทนนท์-แม่แจ่ม ประมาณ 6 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางไปน้ำตก เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นทางดินแดงในช่วงหน้าฝนทางลำบากมากต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ <br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกแม่ปาน</span> เข้าทางเดียวกับน้ำตกห้วยทรายเหลือง แต่อยู่เลยไปอีก 500 เมตร และจากจุดจอดรถต้องเดินต่อไปอีก 800 เมตร ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จึงจะถึงตัวน้ำตก น้ำตกแม่ปานนับว่าเป็นน้ำตกที่ยาวที่สุดของเชียงใหม่ก็ว่าได้ น้ำจะตกลงมาจากหน้าผาซึ่งสูงกว่า 100 เมตร เป็นทางยาว ถ้ามองดูแต่ไกลจะเห็นสายน้ำยาวสีขาวตัดกับสีเขียวของต้นไม้ทำให้ดูเด่น น้ำที่ตกลงมายังเบื้องล่างกระทบโขดหินแตกเป็นฟองกระจายไปทั่วบริเวณทำให้มี ความชุ่มชื้น เบื้องล่างมีแอ่งน้ำรองรับอยู่ สามารถพักผ่อนลงอาบเล่นได้ <br />
<br />
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบนดอยอินทนนท์ กิ่วแม่ปาน ทางเข้าอยู่กิโลเมตรที่ 42 ด้านซ้ายมือ ระยะทางเดิน 3 กิโลเมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติแท้จริง ระหว่างทางเดินจะพบป่าดิบเขา (Hill Evergreen) ก่อนผ่านเข้าสู่ทุ่งหญ้าซึ่งเคยเป็นพื้นที่ป่าถูกทำลาย เพื่อเป็นการศึกษาลักษณะการเกิดผลกระทบต่อเนื่องบริเวณรอยต่อระหว่างพื้นที่ ป่าสมบูรณ์กับพื้นที่ถูกทำลาย หลังจากนั้นทางเดินจะเลาะริมผามีไอหมอกปลิวผ่านตลอดเวลา จะพบดอกกุหลาบพันปี หรือ Rhododendron (ไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ขึ้นตามป่าในระดับสูง มีพันธุ์ดอกสีขาวและสีแดง เวลาออกดอกช่วงแรกมีลักษณะเหมือนปลีกล้วย ก่อนที่จะบานเต็มต้นในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ พบมากในแถบเทือกเขาหิมาลัยและเป็นไม้ประจำชาติของเนปาลด้วย) มองลงไปยังเบื้องล่างจะพบทัศนียภาพที่งดงามของอำเภอแม่แจ่ม <br />
<br />
การใช้เส้นทางนี้ต้องลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตให้ใช้เส้นทางโดยติดต่อที่ศูนย์ ประชาสัมพันธ์อุทยานฯ และควรจัดกลุ่มละไม่เกิน 15 คน ทางอุทยานฯไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้าไปรับประทานในเส้นทางในช่วงฤดูฝน และจะปิดเส้นทางเพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัวไม่อนุญาติให้เข้าไปท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 30 ตุลาคม ของทุกปี เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานแห่งนี้ ได้รับรางวัลดีเด่นประเภทแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ครั้งที่ 4 ประจำปี พ.ศ. 2545 เพราะมีการจัดการที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ระหว่างทางมีป้ายสื่อความหมายให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว และประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการนำเที่ยว อ่างกาหลวง เส้นทางนี้สำรวจวางแนวและออกแบบเส้นทางเดินโดย คุณไมเคิล แมคมิลแลน วอลซ์ นักสัตววิทยาและอาสาสมัครชาวแคนาดาประจำอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ทำงานทุ่มเทให้กับอินทนนท์ และได้เสียชีวิตที่นี่ด้วยโรคหัวใจ เส้นทางนี้มีระยะทาง 1,800 เมตร พื้นที่นี้เป็นหนองน้ำซับในหุบเขา จุดเด่นที่น่าสนใจ คือ ป่าดิบเขาระดับสูง ลักษณะของพรรณไม้เขตอบอุ่นผสมกับเขตร้อนที่พบเฉพาะในระดับสูง การสะสมของอินทรียวัตถุในป่าดิบเขา <br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="247" src="http://images.thaiza.com/37/37_200801031350231..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b> ลักษณะอากาศเฉพาะถิ่น พืชที่อาศัยเกาะติดต้นไม้ ลักษณะของต้นน้ำลำธาร และลักษณะของต้นไม้บนดอยอ่างกา เช่นต้นข้าวตอกฤาษีที่ขึ้นตามพื้นดิน (ข้าวตอกฤาษี เป็นพืชที่ต้องการความอุดมสมบูรณ์สูง จะขึ้นในที่สูงกว่า 2,000 เมตรเท่านั้น และเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มชื้น อากาศเย็น) กุหลาบพันปี เป็นต้น ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ อีกหลายเส้น เช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิโลเมตรที่ 38 และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติกลุ่มน้ำตกแม่ปาน เป็นต้น แต่ละเส้นใช้เวลาในการเดินต่างกันตั้งแต่ 20 นาที – 7 ชั่วโมง และเหมาะที่จะศึกษาสภาพธรรมชาติที่ต่างกันด้วย ศึกษารายละเอียดเส้นทางได้จากที่ทำการอุทยานฯ และจะต้องติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางจากที่ทำการฯ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 31 <br />
<br />
เพื่อป้องกันการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การใช้สถานที่เพื่อการพักค้างแรมหรือจัดกิจกรรมอื่น ๆนอกเหนือจากบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ต้องขออนุญาตจากหัวหน้าอุทยานฯ เป็นลายลักษณ์อักษร <br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="269" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080103135023..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b> กิจกรรมดูนกบนดอยอินทนนท์ ศูนย์บริการข้อมูลนกอินทนนท์ที่ร้านลุงแดง ตั้งอยู่กิโลเมตรที่ 3 หน่วยจัดการต้นน้ำแม่กลาง ให้บริการด้านข้อมูลนกในดอยอินทนนท์ เช่น สมุดบันทึกการพบนกในดอยอินทนนท์ ภาพวาดลายเส้นของนักดูนก แผนที่เส้นทางดูนกดอยอินทนนท์ ภาพถ่าย สไลด์เกี่ยวกับนก ฯลฯ ให้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ <br />
<br />
ช่วงที่นักดูนกนิยมมาดูนกกันเป็นฤดูหนาว นอกจากจะได้พบนกประจำถิ่นแล้ว ยังสามารถพบนกอพยพ เช่น นกปากซ่อมดง นกอุ้มบาตร นกเด้าลมหลังเทา นกเด้าลมหลังเหลือง นกเด้าลมดง นกเด้าลมหัวเหลือง นกจาบปีกอ่อนเล็ก นกจาบปีกอ่อนหงอน นกจาบปีกอ่อนสีแดง นกเดินดงสีน้ำตาลแดง ฯลฯ ทางศูนย์ฯจะบริการให้คำแนะนำตลอดจนเป็นสถานที่พบปะสนทนาระหว่างนักดูนก นักศึกษาธรรมชาติและบุคคลทั่วไป เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ดีต่อการอนุรักษ์และรักษาสภาพธรรมชาติ ทำให้ทราบถึงแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งอาหารของนกและสัตว์ป่าในดอยอินทนนท์ ให้คงอยู่ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป <br />
<br />
ขอบคุณข้อมูล <br />
http://www.tat.or.th/</b></span> </span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-56500216919742157672012-01-07T02:57:00.000-08:002012-01-07T02:57:09.924-08:00พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี</span> </b></span> <br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712261618411..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
ตั้ง อยู่ที่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ในตัวเมืองพิษณุโลก เป็นที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องมือทำมาหากินของชาวบ้านในอดีต ตั้งแต่ชิ้นเล็กๆ จนถึงชิ้นใหญ่ เช่น เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เช่น เครื่องวิดน้ำด้วยมือ เครื่องสีข้าว เครื่องมือดักจับสัตว์ รวมกันแล้วนับหมื่นชิ้น จนได้รับการยอมรับว่าเป็นขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาไทย และได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยประเภทหน่วยงานส่งเสริมและ พัฒนาการท่องเที่ยว เมื่อปี 2541 <br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="257" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226161841..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
จ่าสิบเอก ดร. ทวี บูรณเขตต์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ เป็นผู้ที่มีฝีมือในทางประติมากรรม และได้รับการเชิดชูเกียรติมากมาย ท่านได้รับการยกย่องให้เป็น บุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมสาขาการช่างฝีมือ แขนงช่างหล่อ ประจำปี 2526 และได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒและมหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งการประกาศเกียรติคุณเป็น คนดีศรีพิษณุโลก พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านแห่งนี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ โดยเก็บค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท ตั้งแต่เวลา 8.30–16.30 น. โทร. 0 5521 2749, 0 5530 1668 ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ เป็นโรงหล่อพระบูรณะไทย ติดต่อเข้าชมการหล่อพระล่วงหน้า โทร. 0 5525 8715 </b></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-61739699405997125692012-01-07T02:55:00.000-08:002012-01-07T02:55:15.361-08:00ท้าลมหนาว ชม ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">ท้าลมหนาว ชม ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ</span> </b></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><br />
<img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226160955..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
<span style="color: #339966;">ตั้ง อยู่หมู่ที่ 6 ตำบลแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ตามเส้นทางหมายเลข 108 (แม่ฮ่องสอน - ขุนยวม) ก่อนถึงตัวอำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร มีทางแยกซ้ายตามทางหลวงสาย 1263 เข้าสู่ทุ่งบัวตองอีก 26 กิโลเมตร เป็นถนนลาดยาง</span><br />
มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้างประมาณ 1 พันไร่ อยู่ในความรับผิดชอบของโครงการพัฒนาป่าไม้ที่สูง หน่วยที่ 5 กองอนุรักษ์ต้นน้ำ <br />
<br />
ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อมๆ กันในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา มีความสวยงามมาก </b></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-26876024591569856372012-01-07T02:52:00.000-08:002012-01-07T02:52:03.677-08:00เที่ยวทุ่งดอกทานตะวันบาน ไม่ไปไม่รู้<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">เที่ยวทุ่งดอกทานตะวันบาน ไม่ไปไม่รู้</span> <span style="color: teal;">บริเวณเขต ติดต่อระหว่างจังหวัดลพบุรี และสระบุรี ตามเส้นทางสายพัฒนานิคม-วังม่วง มีการทำไร่ทานตะวันกันมาก รวมทั้งในอีกหลายอำเภอของสระบุรี เช่น อำเภอพระพุทธบาท เฉลิมพระเกียรติ แก่งคอย หนองโดน และมวกเหล็ก แต่ที่อำเภอวังม่วงจะมีพื้นที่ปลูกมากที่สุด</span> <br />
<br />
ในช่วงฤดูหนาวราวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ริมฝั่งถนนจะสะพรั่งไปด้วยสีเหลืองของดอกทานตะวัน เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้ผ่านมาบริเวณนี้เป็นอย่างมาก สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เกษตรอำเภอวังม่วง โทร. 0 3635 9021 ทานตะวันเป็นพืชตระกูลถั่ว ประเภทเดียวกับเบญจมาศ คำฝอย ดาวเรือง บัวตอง ซึ่งเป็นพืชล้มลุกชอบแสงแดดจัด ทนต่อความแห้งแล้งได้ดี ต้องการน้ำน้อย และเป็นพืชอายุสั้น นิยมปลูกหลังฤดูฝนประมาณเดือนกันยายนเป็นต้นไป จึงเหมาะแก่การปลูกทดแทนข้าวนาปรังหรือพืชชนิดอื่นๆ <br />
<br />
ทานตะวันเป็นพืชเศรษฐกิจที่นอกจากจะได้ประโยชน์จากการเก็บเกี่ยวแล้ว ยังนำมาซึ่งรายได้จากการท่องเที่ยว เพราะเมื่อดอกทานตะวันบานนับพันนับหมื่นไร่ กลายเป็นท้องทุ่งดอกไม้สีทองอร่ามที่งดงามกว้างไกลสุดสายตา สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวนับแสนคนจากทั่วประเทศให้เดินทางมาเที่ยวชมและ ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก <br />
</b> </span> <br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712261603301..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
เกษตรกรจะทำการเพาะปลูกหรือหว่านเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ประมาณเดือนกันยายนเป็น ต้นไป ดอกทานตะวันจะบานและให้เมล็ดเมื่ออายุครบ 55-60 วัน และจะบานสวยงามเต็มที่ประมาณ 15 วัน หลังจากนั้นเกษตรกรจะปล่อยให้เมล็ดทานตะวันแห้งคาต้น แล้วจึงเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต <br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="321" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226160330..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b> เมล็ดทานตะวันสามารถให้น้ำมันที่มีคุณภาพในปริมาณสูงถึง 45% ต่อน้ำหนัก และยังมีคุณค่าอาหารอื่นๆ อีกมาก เช่น โปรตีน แป้ง เกลือแร่ โดยไม่มีคอเลสเตอรอล เพราะเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น กรดลิโนเลอิค กรดอาซิโนอิค สูงถึง 60-70 % ซึ่งจะช่วยให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดไม่สูงเกินไป ทำให้ลดปัญหาโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด <br />
<br />
นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์แก่ร่างกายอีกมาก เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ เค บี 2 อี และ ดี กากเมล็ดพืชที่เหลือจากการสกัดน้ำมัน สามารถนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ น้ำมันทานตะวันนอกจากจะใช้บริโภคในรูปของน้ำมันสลัดและปรุงอาหารแล้ว ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเนยเทียม สบู่ สีน้ำมันขัดเงา ส่วนเมล็ดสามารถนำไปกะเทาะเปลือกและอบโรยเกลือเป็นอาหารขบเคี้ยวที่ให้ ประโยชน์แก่ร่างกายได้อีกด้วย <br />
<br />
ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากทานตะวันมีอยู่หลายอย่าง อาทิ เมล็ดทานตะวันอบแห้ง คุ้กกี้ทานตะวัน ข้าวเกรียบ ข้าวตังทานตะวัน น้ำผึ้งดอกทานตะวัน เกสรผึ้ง นมผึ้ง เป็นต้น </b></span><br />
</span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-32417124036712805312012-01-07T02:51:00.000-08:002012-01-07T02:51:16.526-08:00ธรรมชาติแสนงาม ณ บึงบอระเพ็ด<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">ธรรมชาติแสนงาม ณ บึงบอระเพ็ด</span> </b></span> <span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: maroon;">เป็นบึง น้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเนื้อที่ประมาณ 132,737 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอท่าตะโก และอำเภอชุมแสง ในอดีตบึงบอระเพ็ดได้ชื่อว่าเป็น "ทะเลเหนือ" หรือ "จอมบึง" เพราะมีสัตว์และพันธุ์พืชน้ำอยู่มากมาย </span><br />
จากการสำรวจพบว่ามีสัตว์อาศัยอยู่ประมาณ 148 ชนิด พืช 44 ชนิด เคยพบสัตว์หายากที่นี่ ได้แก่ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร ปลาเสือตอ ในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคมจะมีนกเป็ดน้ำจำนวนมากอพยพมาที่บึงแห่งนี้ นกประจำถิ่น ได้แก่ อีโก้ง อีแจว ปากห่าง ซึ่งจะวางไข่ในเดือนกรกฎาคม-มีนาคม <br />
<br />
พื้นที่บางส่วนได้รับการประกาศให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า บึงบอระเพ็ดอยู่ในความดูแลของกองอนุรักษ์สัตว์ป่า และยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา โดยกรมประมงได้มาตั้งสถานีพัฒนาประมงบึงบอระเพ็ดไว้ด้วย<br />
</b></span></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><b><img alt="" height="232" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226155614..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b><span style="color: blue;">การเดินทาง จากตัวเมืองนครสวรรค์ไปบึงบอระเพ็ด สามารถไปได้หลายเส้นทาง</span><br />
ทางเรือ จากตลาดท่าน้ำเทศบาลเมืองนครสวรรค์ไปตามลำน้ำผ่านขึ้นไปทางเหนือ ประมาณ 6 กิโลเมตร ถึงปากคลองเข้าบึงบอระเพ็ดที่เรียกว่าคลองหนองดุก เมื่อลอดใต้สะพานรถไฟเข้าไปก็จะถึงบริเวณบึง <br />
<br />
<strong>ทางรถยนต์ สามารถเข้าถึงบึงบอระเพ็ดได้ 2 ด้าน คือ</strong><br />
1) หากเข้าทางด้านเหนือ ไปตามเส้นทางสายนครสวรรค์-ชุมแสง ทางหลวงหมายเลข 225 ประมาณ 9 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาอีก 2 กิโลเมตร เข้าไปยัง สถานีพัฒนาประมงน้ำจืดบึงบอระเพ็ด ในบริเวณมี ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด จัดแสดงตู้ปลาน้ำจืดชนิดต่าง ๆ เช่น ปลากระโห้ ปลากระเบนขาว ปลากะพงขาว ปลาเทโพ ปลายี่สก ฯลฯ <br />
<br />
เปิดให้ชมฟรี เวลา 08.30-16.30 น.ในวันธรรมดา และ 09.00-16.30 น.ในวันเสาร์-อาทิตย์ โทร. 0 5623 0183 นอกจากนี้ยังมีบ่อเพาะพันธุ์จระเข้ มีเรือหางยาวนำชมบึง เรือลำเล็กจุได้ 5 คน ไม่รวมคนขับ ราคา 300 บาท เรือลำใหญ่จุได้ 10 คน ราคา 400 บาท เรือจะล่องไปถึงเกาะลัดและกลับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถนำอาหารไปรับประทานบนเรือได้ มีเรือบริการระหว่างเวลา 09.00-17.00 น. แต่ถ้าล่องในช่วงแปดถึงเก้าโมงเช้าจะพบนกได้ง่ายกว่า สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีพัฒนาประมงน้ำจืดบึงบอระเพ็ด โทร. 0 5622 1561<br />
<br />
2) อีกเส้นทางหนึ่งคือเข้าทางด้านทิศใต้ของบึงบอระเพ็ด จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 3001 สายนครสวรรค์-ท่าตะโก ประมาณ 20 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายตามป้ายอีก 4 กิโลเมตร ถึง อุทยานนกน้ำ หรือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติ <br />
<br />
ในบริเวณที่ตั้งสำนักงานมีสวนพักผ่อน มีนกหลายชนิดให้ชม เรือหางยาวนำชมบึงบอระเพ็ดค่าบริการเหมาลำ ชั่วโมงละ 200 บาท มีบ้านพักบริการ สอบถามรายละเอียดได้ที่ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด หรือสถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่าบึงบอระเพ็ด ซึ่งเป็นที่ตั้งของชมรมดูนกจังหวัดนครสวรรค์ โทร. 0 5622 7874 เปิดทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. </b></span></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-49752844842312302032012-01-07T02:50:00.001-08:002012-01-07T02:50:37.220-08:00ล่องเรือชมปลาโลมาที่บางปะกง<span style="font-size: small;"><b><span class="style2">ล่องเรือชมปลาโลมาที่บางปะกง</span> </b></span> <span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: blue;">บริเวณตำบลท่าข้าม อำเภอบางปะกง ปลาโลมาจากอ่าวไทยจะตามแหล่งอาหารเข้ามาหากิน เนื่องจากในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคมของทุกปี</span><br />
<br />
บริเวณนี้จะมีปลาดุกทะเลซึ่งเป็นอาหารโปรดของปลาโลมาเป็นจำนวนมาก ปลาโลมาจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงประมาณ 40-50 ตัว และกระโดดขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำพร้อมๆกัน ครั้งละประมาณ 3-4 ตัว พันธุ์ที่พบมากคือ ปลาโลมาอิรวดี (หัวบาตรหลังมีครีบ) โลมาหลังโหนก โลมาปากขวด รวมทั้งปลาโลมาเผือกที่มีความสวยงาม <br />
</b></span></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><b><img alt="" height="244" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226154554..jpg" width="350" /></b></span></div><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b> นอกจากนี้ในเส้นทางล่องเรือยังผ่านป่าชายเลนซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์และ นกนานาชนิด อาทิ นกกาน้ำ นกแสก นกกระยาง นกนางนวล นกกระเต็น ค้างคาวแม่ไก่และลิงแสม เป็นต้น และผ่านเกาะท่าข้ามใกล้กับหมู่ที่ 1ที่ปลาโลมาเข้ามาหาเหยื่อซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 125 ไร่ <br />
<br />
จุดลงเรือมี 2 แห่งคือ ท่าเรือหมู่ 1บ้านท่าแหลม และท่าเรือหมู่ 8 บ้านคลองตำหรุ ใช้เวลาล่องเรือ1-2 ชั่วโมง เรือมีหลายขนาด ค่าโดยสาร แบบเหมาลำ ราคา 600-1200 บาทและแบบนั่งรวม ไม่เกิน15 คน ราคาคนละ 180 บาท ควรไปชมช่วงเช้าก่อนเที่ยงหรือช่วงเย็น <br />
<br />
<strong>ติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานเทศบาลตำบลท่าข้าม โทร. 0 3857 3411-8 0 3857 3411-2 ต่อ 19 </strong><br />
<span style="color: blue;">การเดินทาง</span>1.ใช้ เส้นทางถนนบางนา – ตราด (กรุงเทพฯ – ชลบุรี) ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง กลับรถที่ กม. 53 (จุดกลับรถที่ 2 หลังจากข้ามสะพาน) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางคู่ขนาน สามารถเข้าท่าเรือได้ตามถนนเข้าศูนย์ฝึก อบรม กฟผ. และถนนสุขุมวิท <br />
<br />
2. เส้นทางถนนสุวินทวงศ์ จากกรุงเทพ ฯ มาจังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อนเข้าตัวเมืองเลี้ยวขวาตามถนนฉะเชิงเทรา – บางปะกง แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าเส้นทางที่ 1 ที่สะพานคลองอ้อม </b></span></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-41382667578328813742011-11-25T01:46:00.000-08:002011-11-25T01:46:23.738-08:00พิมาย เมืองขอมโบราณ<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="background-color: white; font-family: tahoma; width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;" valign="top"><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ</span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: teal;">ตั้งอยู่ในตัวอำเภอพิมาย ประกอบด้วยโบราณสถานสมัยขอมที่ใหญ่โตและงดงามอลังการนั่นคือ “ปราสาทหินพิมาย” แหล่งโบราณคดีที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ บนพื้นที่ 115 ไร่ วางแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 565 เมตร ยาว 1,030 เมตร ชื่อ “พิมาย” น่าจะมาจากคำว่า “วิมาย” หรือ “วิมายปุระ” ที่ปรากฏในจารึกภาษาเขมรบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาทหินพิมาย และยังปรากฏชื่อในจารึกอื่นอีกหลายแห่ง อาจจะเป็นคำที่ใช้เรียกรูปเคารพหรือศาสนาสถาน</span><br />
<br />
</span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;">สิ่งที่เป็นลักษณะพิเศษของปราสาทหินพิมาย คือ ปราสาทหินแห่งนี้สร้างหันหน้าไปทางทิศใต้ต่างจากปราสาทหินอื่นที่มักหันหน้าไปทางทิศตะวันออก สันนิษฐานว่าเพื่อให้หันรับกับเส้นทางที่ตัดมาจากเมืองยโศธรปุระเมืองหลวงของอาณาจักรเขมรซึ่งเข้าสู่เมืองพิมายทางด้านทิศใต้ จากหลักฐานศิลาจารึกและศิลปะการก่อสร้าง บ่งบอกว่า</span><span style="font-size: x-small;"><br />
<br />
</span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;">ปราสาทหินพิมายคงจะเริ่มสร้างขึ้นในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 รูปแบบทางศิลปกรรมของตัวปราสาทเป็นแบบปาปวนซึ่งเป็นศิลปะที่รุ่งเรืองในสมัยนั้น โดยมีลักษณะของศิลปะแบบนครวัดซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยต่อมาปนอยู่บ้าง และมาต่อเติมอีกครั้งในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 18 สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งครั้งนั้นเมืองพิมายเป็นเมืองซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอาณาจักรเขมร</span><span style="font-size: x-small;"><br />
<br />
ปราสาทหินแห่งนี้สร้างเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายานมาโดยตลอด เนื่องจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงนับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน<br />
<br />
<span style="color: blue;"><strong>ปราสาทหินพิมายมีสิ่งก่อสร้างที่น่าสนใจดังนี้ </strong></span><div style="text-align: center;"><img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226153559..jpg" width="350" /></div><br />
<span style="color: green;"> </span></span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ </span><span style="color: green; font-size: x-small;">สะพานนาคราช</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;"> </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;">เมื่อเข้าไปเยี่ยมชมปราสาทหินพิมายจะผ่านส่วนนี้เป็นส่วนแรก จะเห็นสะพานนาคราชและประติมากรรมรูปสิงห์ ตั้งอยู่ด้านหน้าของซุ้มประตูด้านทิศใต้ของปรางค์ประธานซึ่งเป็นส่วนหน้าของปราสาท ทั้งนี้อาจมีจุดมุ่งหมายในการสร้างให้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์</span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;"><br />
</span><br />
ตามคติความเชื่อในเรื่องจักรวาลทั้งในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ มีลักษณะเป็นรูปกากบาท ยกพื้นขึ้นสูงจากพื้นดินประมาณ 2.50 เมตร ราวสะพานโดยรอบทำเป็นลำตัวพญานาค ชูคอแผ่พังพานเป็นนาคเจ็ดเศียร มีลำตัวติดกันเป็นแผ่น หันหน้าออกไปยังเชิงบันไดทั้งสี่ทิศ ซุ้มประตูและกำแพงชั้นนอกของปราสาท<br />
<br />
ถัดจากสะพานนาคราชเข้ามาเป็นซุ้มประตูหรือที่เรียกว่า โคปุระ ของกำแพงปราสาทด้านทิศใต้ ก่อด้วยหินทราย มีผังเป็นรูปกากบาทและมีซุ้มประตูลักษณะเดียวกันนี้อีก 3 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก โดยมีแนวกำแพงสร้างเชื่อมต่อระหว่างกันเป็นผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวจากเหนือถึงใต้ 277.50 เมตร และกว้างจากตะวันออกไปตะวันตก 220 เมตร ซุ้มประตูด้านทิศตะวันตกมีทับหลังชิ้นหนึ่งสลักเป็นรูปขบวนแห่พระพุทธรูปนาคปรกที่ประดิษฐานอยู่เหนือคานหาม<br />
<br />
<span style="color: green;"> ซุ้มประตูและกำแพงชั้นใน</span> (ระเบียงคด) เมื่อผ่านจากซุ้มประตูและกำแพงชั้นนอกไปแล้ว ก็จะถึงซุ้มประตูและกำแพงชั้นใน ซึ่งล้อมรอบปรางค์ประธาน กำแพงชั้นในของปราสาทแตกต่างจากกำแพงชั้นนอก คือ ก่อเป็นห้องยาวต่อเนื่องกันคล้ายเป็นทางเดินมีหลังคาคลุม อันเป็นลักษณะที่เรียกว่า ระเบียงคด มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวจากเหนือถึงใต้ 80 เมตร และความกว้างจากตะวันออกถึงตะวันตก 72 เมตร มีทางเดินกว้าง 2.35 เมตร เดินทะลุกันได้ตลอดทั้งสี่ด้าน หลังคามุงด้วยแผ่นหิน การบูรณะระเบียงคดเมื่อปีพ.ศ 2532 ได้พบแผ่นทองดุนลายรูปดอกบัว 8 กลีบ บรรจุไว้ในช่องบนพื้นหินของซุ้มประตูระเบียงคดเกือบจะทุกด้าน แผ่นทองเหล่านี้คงไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลเหมือนที่พบในปราสาทอื่นอีกหลายแห่ง<br />
<br />
<span style="color: green;"> ปรางค์ประธาน</span> ตั้งอยู่กลางลานภายในระเบียงคด เป็นศูนย์กลางของศาสนสถานแห่งนี้ ปรางค์ประธานสร้างด้วยหินทรายสีขาวทั้งองค์ ต่างจากซุ้มประตู(โคปุระ)และกำแพงชั้นในและชั้นนอกที่สร้างด้วยหินทรายสีแดงเป็นหลัก มีหินทรายสีขาวเป็นส่วนประกอบบางส่วน เนื่องจากหินทรายสีขาวมีคุณสมบัติคงทนดีกว่าหินทรายสีแดง องค์ปรางค์สูง 28 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสองยาวด้านละ 22 เมตร ด้านหน้ามีมณฑปเชื่อมต่อกับองค์ปรางค์โดยมีฉนวนกั้น องค์ปรางค์และมณฑปตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน ส่วนด้านอื่น ๆ อีกสามด้านมีมุขยื่นออกไปมีบันไดและประตูขึ้นลงสู่องค์ปรางค์ทั้งสี่ด้าน<br />
<br />
<span style="color: green;"> ปรางค์พรหมทัต</span> ตั้งอยู่ด้านหน้าปรางค์ประธานเยื้องไปทางซ้ายสร้างด้วยศิลาแลง มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม กว้าง 14.50 สูงประมาณ 15 เมตร สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ภายในปรางค์พบประติมากรรมหินทรายจำหลักเป็นรูปประติมากรรมฉลององค์ของพระเจ้าชัยวรมันที่7 (จำลอง) ที่เรียกว่า ปรางค์พรหมทัต ก็เพื่อให้เข้ากับตำนานพื้นเมืองเรื่องท้าวพรหมทัตพระเจ้าแผ่นดิน ปัจจุบันกรมศิลปากรได้เก็บรักษาองค์จริงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย <br />
<br />
<span style="color: green;"> ปรางค์หินแดง</span> ตั้งอยู่ทางด้านขวา สร้างด้วยหินทรายสีแดง กว้าง 11.40 เมตร สูง 15 เมตร มีมุขยื่นออกไปเป็นทางเข้าทั้ง 4 ทิศ เหนือกรอบประตูทางเข้าด้านทิศเหนือมีทับหลังสลักเป็นภาพเล่าเรื่องในมหากาพย์ภารตะตอนกรรณะล่าหมูป่า ออกจากระเบียงคด (กำแพงชั้นใน) มาบริเวณลานชั้นนอกทางด้านทิศตะวันตก ล้อมรอบด้วยกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง ประกอบด้วยอาคารที่เรียกว่า บรรณาลัย มีสองหลังตั้งอยู่คู่กันและมีสระน้ำอยู่ทั้งสี่มุม<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="337" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226154002..jpg" width="350" /></div><br />
</span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ </span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;">อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 07.30-18.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทยคนละ 10 บาท ชาวต่างประเทศคนละ 40 บาท มีบริการยุวมัคคุเทศก์ซึ่งเป็นนักเรียนจากโรงเรียนพิมายวิทยานำชมสถานที่ฟรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 4447 1568 โบราณสถานนอกกำแพงปราสาทหินพิมาย มีสิ่งที่น่าสนใจดังนี้</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;"> </span><span style="font-size: x-small;"><br />
<br />
ประตูเมืองและกำแพงเมืองพิมาย สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บรรดาประตูเมืองทั้ง 4 ทิศ ประตูชัยด้านทิศใต้นับเป็นประตูเมืองที่สำคัญที่สุด เพราะรับกับถนนโบราณที่ตัดผ่านมาจากเมืองพระนครเข้าสู่ตัวปราสาทพิมาย หากหยุดยืนที่ช่องประตูเมืองด้านทิศใต้ จะมองเห็นปราสาทหินพิมายผ่านช่องประตูเมืองพอดี ลักษณะประตูเมืองมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทางผ่านตลอดกลางประตู ส่วนของหลังคาได้หักพังไปหมดแล้ว เมรุพรหมทัต อยู่นอกกำแพงปราสาทด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นซากโบราณสถานก่อด้วยอิฐ<br />
<br />
<strong> ปัจจุบันเป็นมูลดินทับถมจนเป็นรูปกลมสูงประมาณ 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 59 เมตร ที่เรียกว่าเมรุพรหมทัตเพราะเชื่อว่าเป็นที่ถวายเพลิงพระศพท้าวพรหมทัตตามตำนานนั่นเอง แต่จากลักษณะการก่อสร้างเข้าใจว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานทางด้านทิศใต้ได้แก่ ท่านางสระผม กุฏิฤาษี และอโรคยาศาล </strong></span></td></tr>
</tbody></table><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">พิมาย เมืองขอมโบราณ</span></td></tr>
</tbody></table>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-4348038061383582312011-11-25T01:45:00.000-08:002011-11-25T01:45:07.048-08:00เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ<span class="Apple-style-span" style="background-color: white; color: #666666; font-family: tahoma; font-size: 12px;"> </span><span class="style2" style="background-color: white; color: #990033; font-family: tahoma; font-size: 12px; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ</span><br />
<span class="style2" style="background-color: white; color: #990033; font-family: tahoma; font-size: 12px; font-weight: bold;"></span><br />
<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;" valign="top"><span style="font-size: x-small;"><span style="color: teal;">อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือจังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดนครสวรรค์ เป็นหนึ่งในผืนป่าตะวันตกที่มีพื้นที่ป่าสมบูรณ์มากที่สุดตั้งแต่จังหวัดตากจนถึงจังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 558,750 ไร่ หรือ 894 ตารางกิโลเมตร </span><br />
พื้นที่ทิศเหนือของอุทยานฯติดกับอุทยานแห่งชาติคลองลาน ทิศใต้ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และทิศตะวันตกติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดตาก ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14กันยายน 2530<br />
</span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><img alt="" height="222" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226152822..jpg" width="350" /><br />
</span></div><span style="font-size: x-small;"> </span> <span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;"> ป่าส่วนใหญ่ของอุทยานฯประกอบด้วยป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบ และป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ที่สำคัญและมีค่ามากมาย เช่น สัก ประดู่ มะค่าโมง ยางแดง เต็ง รัง เป็นตัน</span><span class="Apple-style-span" style="font-size: x-small;"> </span><span style="font-size: x-small;"><br />
<br />
นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าที่หายาก เช่น ช้างป่า กระทิง เสือ กวาง เก้ง หมี แมวลาย และนกต่าง ๆ มากกว่า 305 ชนิด จาก 53 วงศ์ ซึ่งนกบางชนิดพบเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย เช่น นกกระเต็นขาวดำใหญ่ นกเงือกคอแดง นกกางเขนดง นกโพระดกหูเขียว และนกพญาปากกว้างหางยาว เป็นต้น ช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุดคือฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์<br />
</span> <span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ </span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: blue;"><strong>สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจภายในอุทยานฯ</strong></span> แก่งผานางคอย อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 1,800 เมตร เป็นแก่งหินลำห้วยคลองขลุง จากบริเวณแก่งหินเดินขึ้นไปประมาณ 350 เมตร จะถึงน้ำตกผานางคอย เป็นน้ำตกเล็ก ๆ มี 4 ชั้น และบริเวณใกล้น้ำตกสามารถกางเต็นท์พักแรมได้ด้วย<br />
<br />
<br />
<span style="color: green;">จุดชมวิว กม. ที่ 81</span> จากที่ทำการอุทยานฯ ไปตามถนนคลองลาน-อุ้มผาง ประมาณ 16 กิโลเมตร จะถึงบริเวณหน้าผา เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของป่ารอบ ๆ ได้อย่างสวยงาม บริเวณนี้สามารถกางเต็นท์พักแรมได้<br />
<br />
<span style="color: green;">ช่องเย็น กม. ที่ 93</span> อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 28 กิโลเมตร เป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง สูง 1,340 เมตร จากระดับน้ำทะเล มีสายลมพัดผ่านและหมอกปกคลุมอยู่เสมอ อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และเป็นที่ดูพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงามอีกจุดหนึ่ง สภาพป่าทั่วไปเป็นป่าดิบเขา มีกล้วยไม้หายาก เช่น สิงโตกลอกตา เฟิร์น มหาสดำ มีนกหายาก เช่น นกเงือกคอแดง นกภูหงอนพม่า นกพญาปากกว้างหางยาว และนกหัวขวานใหญ่หงอนเหลือง นกเหล่านี้จะพบเห็นได้บริเวณบ้านพัก บริเวณ “ช่องเย็น” มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการ แต่จะต้องเตรียมอุปกรณ์มาเอง คือ ผ้าพลาสติก เสื้อกันหนาว ตะเกียงหรือไฟฉาย เพราะไม่มีไฟฟ้าหรือเตาแก๊สสำหรับการปรุงอาหาร โลชั่นกันแมลง และถุงสำหรับนำขยะลงไปทิ้ง เพราะช่องเย็นไม่สามารถกำจัดขยะได้ เส้นทางขี้น-ลง<br />
<br />
<span style="color: green;">“ช่องเย็น”</span> เป็นทางเลียบหน้าผาทางแคบรถไม่สามารถสวนกันได้ ทางอุทยานฯ จึงได้กำหนดเวลาขึ้น-ลง คือ เวลาขึ้น 05.00-06.00 น. 09.00-10.00 น. และ 13.00-14.00 น. เวลาลง 07.00-08.00 น. 11.00-12.00 น. และ 15.00-16.00 น.<br />
<br />
<span style="color: green;">ยอดเขาโมโกจู</span> เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และสูงที่สุดในผืนป่าตะวันตก ห่างจากอุทยานฯ ประมาณ 27 กิโลเมตร เป็นยอดเขาที่นักนิยมการท่องเที่ยวแบบเดินป่า ปีนเขา ต้องการที่จะไปเยือนสักครั้ง ด้วยความสูง 1,964 เมตร คำว่า “โมโกจู” เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก เนื่องจากบนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกและมีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา<br />
<br />
ผู้สนใจจะไปสัมผัสยอดเขาโมโกจู ต้องเตรียมความพร้อมของร่างกายเพราะจะต้องขึ้นเขาที่มีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 5 วัน และต้องพักแรมในป่าตามจุดที่กำหนด นอกจากนั้นควรศึกษาสภาพเส้นทาง สภาพอากาศ และติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางก่อนจากทางอุทยานฯ ก่อนตัดสินใจจะไปสัมผัส “โมโกจู” ช่วงที่จะเปิดให้เดินขึ้นยอดเขาโมโกจู คือเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="241" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226152944..jpg" width="350" /></div></span> <span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ</span><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;">น้ำตกแม่กระสา</span> เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มี 9 ชั้น สูง 900 เมตร อยู่ห่างจากอุทยานฯ ประมาณ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาในการเดินเท้าไป-กลับ 3-4 วัน น้ำตกแม่รีวา อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 21 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่สวยงามมาก มี 5 ชั้น รถเข้าไม่ถึงเช่นเดียวกันต้องใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 2 วัน<br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกแม่กี</span> เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับน้ำตกแม่รีวาและน้ำตกแม่กระสา มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาถนนธงชัย การเข้าไปยังน้ำตกต้องเดินเท้าเวลาไป-กลับ 3-4 วัน น้ำตกนางนวลและน้ำตกเสือโคร่ง อยู่บริเวณ กม.ที่ 99 ของถนนคลองลาน-อุ้มผาง น้ำตกนางนวลต้องไต่เขาลงไปประมาณ 200 เมตร สำหรับน้ำตกเสือโคร่ง ต้องเดินไป 1 กิโลเมตร การเดินทางเข้าไปน้ำตกทั้งสองแห่งต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้ง<br />
<br />
นอกจากนั้นอุทยานฯ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกนางนวล ระยะทาง 6.4 กิโลเมตร และเส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกธารบุญมี ซึ่งใช้เวลาในการเดิน 2 ชั่วโมง สามารถศึกษาพันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ และพันธุ์นกต่าง ๆ ที่หาดูได้ยากอีกด้วย<br />
<br />
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องเดินป่าระยะไกลซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อถึงฤดูกาลท่องเที่ยว ทางอุทยานฯ จะจัดทำตารางกำหนดเวลาเดินป่าระยะไกลประจำปีซึ่งนักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามกติกาการเดินทางอย่างเคร่งครัด และควรติดต่อจองเวลาการเดินทางและขอคำแนะนำในการเตรียมตัวและอุปกรณ์จากเจ้าหน้าที่อุทยานให้พร้อม ทางอุทยานฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยว แต่ต้องนำเต็นท์มาเอง สอบถามข้อมูลได้ที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ กิโลเมตรที่ 65 ถนนคลองลาน-อุ้มผาง กิโลเมตรที่ 65 อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร 62180 โทร. 0 5576 6024 0 5576 6027 หรือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เขตบางเขน กรุงเทพฯ<br />
<br />
โทร.0 2562 0760 หรือ <a href="http://www.dnp.go.th/">www.dnp.go.th</a></span><br />
<span style="font-size: x-small;">หรือ ตู้ ป.ณ. 29 อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร 62180<br />
<br />
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 เลี้ยวซ้าย กม.ที่ 338 เข้าทางหลวงหมายเลข 1117สายคลองลาน-อุ้มผาง เมื่อถึงสี่แยกเข้าคลองลานให้ตรงไปอีก 19 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ แต่หากใช้ทางหลวง 1072 ลาดยาว-คลองลาน เมื่อถึงสี่แยกตลาดคลองลานแล้วให้เลี้ยวซ้ายไปที่ทำการอุทยานฯ หรือ นั่งรถโดยสารปรับอากาศ กรุงเทพฯ- คลองลาน ลงที่ตลาดคลองลาน แล้วเหมารถสองแถวหรือรถมอเตอร์ไซด์ไปอุทยานฯ ได้เช่นเดียวกัน<br />
</span> <span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวแม่วงศ์ ชมความงามแบบธรรมชาติ</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-19408532177346268722011-11-25T01:43:00.001-08:002011-11-25T01:43:44.962-08:00เที่ยวริมคลองที่ตลาดเก้าห้อง<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="background-color: white; font-family: tahoma; width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวริมคลองที่ตลาดเก้าห้อง</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;" valign="top"><span style="font-size: x-small;"></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><img alt="" height="395" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712261520541..jpg" width="350" /></span></div><span style="font-size: x-small;"><br />
</span><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวริมคลองที่ตลาดเก้าห้อง</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr></tr>
</tbody></table><span style="font-size: x-small;"><span style="color: green;">ตั้งอยู่ที่ หมู่ 2 ตำบลบางปลาม้า ห่างจากตัวอำเภอบางปลาม้าประมาณ 3 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวเมืองสุพรรณบุรี 10 กิโลเมตร เป็นตลาดเก่าแก่ซึ่งเป็นย่านการค้าที่รุ่งเรืองริมแม่น้ำสุพรรณบุรี หรือแม่น้ำท่าจีนเมื่อเกือบหนึ่งร้อยปีมาแล้ว</span><br />
<br />
ปัจจุบันยังคงเห็นสภาพตลาดริมน้ำแบบอดีตที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ โดยมีหอดูโจร โรงสีเก่า ศาลเจ้า และบ้านเก้าห้อง (ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามตลาด) เป็นสิ่งก่อสร้างในอดีตที่น่าสนใจ มีการจัดทำพิพิธภัณฑ์ตลาดเก้าห้องให้ผู้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ ชุมชนแห่งนี้แม้จะเงียบเหงาไปบ้าง<br />
<br />
แต่ในทุกวันอาทิตย์ชาวบ้านจะนำสินค้าอาหารคาวหวานมาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวผู้มาเยือน มีทั้งขนมเปี๊ยะ ขนมจันอับ กระหรี่พัฟ ขนมถ้วยฟู กาแฟโบราณ ห่านพะโล้ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ราดหน้า ผัดไทย เป็นต้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 3558 7044 การเดินทาง<br />
<br />
จากตัวเมืองสุพรรณบุรี ใช้เส้นทางสุพรรณบุรี-บางแม่หม้าย ประมาณ 9 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าตลาดเก้าห้อง มีลานจอดรถด้านหน้าตลาดฝั่งตรงข้ามโรงเรียนวัดบ้านหมี่<br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="234" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226152054..jpg" width="350" /></div></span><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวริมคลองที่ตลาดเก้าห้อง</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr></tr>
</tbody></table><span style="font-size: x-small;"><span style="color: blue;">ความเป็นมา</span><br />
คำว่า เก้าห้อง มาจาก บ้านเก้าห้อง เดิมเป็นบ้านของขุนกำแหงฤทธิ์ ต้นตระกูลประทีปทอง ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดเก้าห้อง อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำท่าจีน เป็นเรือนไทยฝาประกน ใต้ถุนสูง ลักษณะเป็นแนวยาว มี 9 ห้อง <br />
<br />
สำหรับตลาดเก้าห้องสร้างขึ้นมาภายหลังในราวปี พ.ศ. 2465 โดยนายบุญรอด (ฮง) เหลียงพานิช คหบดีเชื้อสายจีน ซึ่งได้แต่งงานกับนางแพ หลานสาวของขุนกำแพงฤทธิ์เจ้าของบ้านเก้าห้อง<br />
<br />
ส่วนหอดูโจร เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ก่ออิฐถือปูน กว้างยาวด้านละ 3 เมตร มีความสูงราวตึก 4 ชั้น สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 ตามผนังทั้ง 4 ด้าน เจาะรูเล็ก ๆ ขนาด 3 นิ้ว สำหรับเอาปืนส่องยิงโจรซึ่งมีอยู่ชุกชุมในสมัยนั้น จากด้านล่างภายในหอมีบันไดเหล็กสำหรับปีนขึ้นไปยังดาดฟ้า ซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพของตลาดเก้าห้องและพื้นที่โดยรอบได้ทั้งหมด<br />
</span><table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">เที่ยวริมคลองที่ตลาดเก้าห้อง</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-36141039039135566812011-11-25T01:42:00.001-08:002011-11-25T01:42:50.501-08:00กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="background-color: white; font-family: tahoma; width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;" valign="top"><span style="font-size: x-small;"><div style="text-align: center;"><img alt="" height="390" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226151404..jpg" width="350" /><br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-size: 12px; font-weight: bold;">กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span><br />
<br />
<img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712261514041..jpg" width="350" /><br />
<span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-size: 12px; font-weight: bold;">กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span><br />
<br />
<img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712261514042..jpg" width="350" /></div><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-size: 12px; font-weight: bold;">กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span><br />
พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จ.กาญจนบุรี<br />
สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวไทยทั้งมวล เป็นภาพยนตร์ไตรภาคอันยิ่งใหญ่ที่ได้ดำเนินการถ่ายทำในบริเวณกองพลทหารราบที่ ๙ ค่ายสุรสีห์ ตำบลลาดหญ้า ชมความสวยงามอลังการของฉากต่าง ๆ จากในภาพยนตร์ที่ท่านจะได้สัมผัสจริง ในพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ อาทิ วัดมหาเถรคันฉ่อง ห้องเก็บพระแสงปืนต้น อาณาจักรหงสาวดี สีหสาสนบัลลังก์ คุกใต้ดิน พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ท้องพระโรงหงสาวดี นิทรรศการภาพถ่ายจากการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยจะมีวิทยากรประจำจุดต่างๆ มีจอพลาสมาบรรยายประวัติศาสตร์ภูมิหลังอธิบายฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถร่วมกิจกรรมสนุกต่าง ๆ อาทิ การแต่งกายชุดประวัติศาสตร์ ขี่ม้า ขี่ช้าง นั่งเกวียน และมีจุดจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="379" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071226151417..jpg" width="350" /></div></span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">กองถ่ายทำภาพยนตร์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช</span><span style="font-size: x-small;"><br />
เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 17.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ ชาวไทย 100 บาท เด็กอายุไม่เกิน 12 ปี 50 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท ใช้เวลาในการเดินชมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง การเยี่ยมชมกองถ่ายจะเป็นการเดินชม ให้สวมรองเท้าที่เหมาะสม พร้อมเตรียมอุปกรณ์กันแดด เช่น ร่ม หรือหมวกไปด้วย การเดินทาง กองถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรตั้งอยู่ที่ตำบลลาดหญ้า อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 24 กิโลเมตร จากตัวเมือง ใช้เส้นทางกาญจนบุรี - เขื่อนศรีนครินทร์ (ทาง 3199)ประมาณ 18 กิโลเมตร ถึงสี่แยกลาดหญ้า แยกขวาผ่านค่ายทหารและสวนสัตว์สุรสีห์ไปอีก 5 กิโลเมตร (มีป้ายบอกทาง) หากเดินทางโดยรถโดยสาร มีรถสองแถวจากตัวเมืองถึงสี่แยกลาดหญ้า จากจุดนี้ต้องตกลงราคาและนัดคนขับรถให้ไปส่งที่กองถ่ายฯ และนัดเวลารับกลับ สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท พร้อมมิตร ฟิล์ม สตูดิโอ โทร. 0 3453 2057-8 แฟ็กซ์ 0 3453 2056 สำนักงานกรุงเทพฯ โทร. 0 2736 2300 เว็บไซต์ <a href="http://www.prommitrfilmstudio.com/">www.prommitrfilmstudio.com</a> </span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-51032149229862662552011-11-25T01:41:00.000-08:002011-11-25T01:41:48.712-08:00ชมอารยธรรมโบราณที่ แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท<table align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="background-color: white; font-family: tahoma; width: 580px;"><tbody>
<tr><td class="content-bg" style="background-image: url(http://travel.thaiza.com/images_new/content-bg.gif); background-position: 50% 100%; background-repeat: repeat no-repeat; color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><span class="style2" style="color: #990033; font-weight: bold;">ชมอารยธรรมโบราณที่ แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท</span></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
<tr><td style="color: #666666; font-size: 12px;"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="5"><tbody>
<tr><td valign="top"><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-size: 12px; font-weight: bold;">ชมอารยธรรมโบราณที่ แหล่งโบราณคดีบ้านปราสาท</span><span style="color: green; font-size: 12px;">ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 บ้านปราสาทใต้ ตำบลธารปราสาท จากตัวเมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 2 (นครราชสีมา-ขอนแก่น ถึงกิโลเมตรที่ 44 มีทางแยกซ้ายเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร หากเดินทางโดยรถประจำทางจากกรุงเทพฯหรือนครราชสีมา ให้นั่งรถสายที่จะไป ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย หรือ กาฬสินธุ์ ลงรถที่กม.44 แล้วต่อรถจักรยานยนต์รับจ้างจากปากทางเข้าหมู่บ้าน</span><span class="Apple-style-span" style="color: #666666;"><span class="Apple-style-span" style="font-size: 12px;"> </span></span><br />
<div style="color: #666666; font-size: 12px; text-align: center;"><img alt="" height="429" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712232113491..jpg" width="350" /></div><div style="color: #666666; font-size: 12px;"><br />
</div><div style="text-align: center;"> <span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">แหล่ง</span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">โบราณคดีบ้านปราสาท</span></div><br />
<div style="color: #666666; font-size: 12px;"> บ้านปราสาทนับเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งที่สองต่อจากบ้านเชียง ที่ได้จัดทำในลักษณะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง จากหลักฐานที่ค้นพบสันนิษฐานว่า มีชุมชนอาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์ มีหลักฐานของกลุ่มวัฒนธรรมแบบทวารวดีและแบบเขมรโบราณ ช่วงระหว่าง 1,500-3,000 ปีมาแล้ว หลุมขุดค้นที่ตกแต่งและเปิดให้ชม มีทั้งหมด 3 แห่ง คือ</div><div style="color: #666666; font-size: 12px;"><br />
<span style="color: green;">หลุมขุดค้นที่ 1</span> มีโครงกระดูกฝังอยู่ในชั้นดินแต่ละสมัย แต่ละยุคมีลักษณะการฝังที่ต่างกันไป ยุค 3,000 ปี อยู่ในชั้นดินระดับล่างสุดลึก 5.5 เมตร โครงกระดูกจะหันหัวไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ยุค 2,500 ปี หันหัวไปทางทิศตะวันออก ยุค 2,000 ปีหันหัวไปทางทิศใต้</div><div style="color: #666666; font-size: 12px;"><br />
</div><div style="color: #666666; font-size: 12px;"> แต่คติในการฝังจะคล้ายกันคือจะนำเครื่องประดับ เช่น กำไลเปลือกหอย ลูกปัด แหวนสำริด กำไลสำริด เครื่องประดับศีรษะทำด้วยสำริดและภาชนะของผู้ตายฝังร่วมไปด้วยกับผู้ตาย ในช่วงสามระยะแรกนี้เป็นภาชนะดินเผาเคลือบน้ำดินสีแดง แบบลายเชือกทาบ ลักษณะหลักของภาชนะเป็นแบบคอแคบปากบาน แต่บางใบมีทรงสูงเหมือนคนโท บางชิ้นมีลักษณะเป็นทรงกลมสั้น ต่อมาในยุค 1,500ปี นั้นลักษณะภาชนะจะเปลี่ยนเป็นแบบพิมายดำ คือ มีสีดำ ผิวขัดมัน เนื้อหยาบบาง<br />
<br />
<span style="color: green;">หลุมขุดค้นที่ 2</span> ในดินชั้นบนพบร่องรอยของศาสนสถานในพุทธศตวรรษที่ 13-16 เรียกกันว่า “กู่ธารปราสาท” และพบเศียรพระพุทธรูปในสมัยเดียวกัน ศิลปะทวารวดีแบบท้องถิ่น นอกจากนี้ยังพบรูปปั้นดินเผาผู้หญิงครึ่งตัวเอามือกุมท้องลักษณะคล้ายตั้งครรภ์ และชิ้นส่วนลายปูนปั้นประดับปราสาท<br />
<br />
<span style="color: green;">หลุมขุดค้นที่ 3</span> พบโครงกระดูกในชั้นดินที่ 5.5 เมตร เป็นผู้หญิงทั้งหมด เป็นที่น่าสังเกตว่ากระดูกทุกโครงในหลุมนี้ไม่มีศีรษะ และภาชนะนั้นถูกทุบให้แตกก่อนที่จะนำลงไปฝังด้วยกัน นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าเป็นโครงกระดูกของผู้หญิงที่ถูกประหารชีวิตและนำศีรษะไปแห่ประจาน และได้พบส่วนกะโหลกอยู่รวมกันในอีกที่หนึ่ง ซึ่งห่างจากจุดเดิมเพียง 500 เมตร ชาวบ้านปราสาทจะร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลในวันที่ 21 เมษายน ของทุกปี </div><div style="font-size: 12px; text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold;">แหล่ง</span><span class="Apple-style-span" style="color: #990033; font-weight: bold; text-align: center;">โบราณคดีบ้านปราสาท</span></div></td></tr>
</tbody></table></td></tr>
</tbody></table>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-41283522510839679562011-09-20T00:21:00.000-07:002011-09-20T00:21:19.820-07:00ทองสมบูรณ์คลับ<div style="text-align: center;"><b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2">ทองสมบูรณ์คลับ</span></span></b></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><span class="style2">ทองสมบูรณ์คลับ</span> <span style="color: green;"></span></b></span></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: green;"><img alt="" height="335" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080919163234..jpg" width="500" /><br />
<br />
<img alt="" height="410" src="http://images.thaiza.com/37/37_200809191632341..jpg" width="500" /><br />
<br />
<img alt="" height="409" src="http://images.thaiza.com/37/37_200809191632342..jpg" width="500" /></span></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><span style="color: green;"><br />
ตั้ง อยู่ที่เลขที่ 119 หมู่ 10 ถนนปากช่อง-หัวลำ ตำบลปากช่อง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงผจญภัยที่เหมาะกับครอบครัวและผู้ที่ชอบความ ตื่นเต้นท้าทาย นักท่องเที่ยวจะได้สนุกสนานกับการขี่ม้าสไตล์ตะวันตก <br />
<br />
และเครื่องเล่นชนิดต่างๆ เช่น รอกลอยฟ้า (Flying Fox) กิจกรรมโรยตัว (Abseiling) ขับรถชมวิว รถเอทีวี (ATV) โกคาร์ท (Go-cart) คาร์ทครอส (Cart-cross) ลูจ (Luge) และกระเช้าลอยฟ้า (Ski Lift) เปิดบริการทุกวัน เวลา 08.00 น.-18.00 น. </span></b></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="388" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080919163351..jpg" width="500" /><br />
<br />
<img alt="" height="359" src="http://images.thaiza.com/37/37_200809191633511..jpg" width="500" /><br />
<br />
<img alt="" height="387" src="http://images.thaiza.com/37/37_200809191633512..jpg" width="500" /><br />
<br />
<img alt="" height="375" src="http://images.thaiza.com/37/37_20080919163408..jpg" width="500" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
นอกจากนี้ยังมีล่องแก่งไม้ซุง และที่พักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 4431 2248 .0 4431 2316,0 4424 9694, 0 9967 7550<a href="http://www.thongsomboon-club.com/"></a> <a href="mailto:%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B9%8Ccontact@thongsomboon-club.com">อีเมล์contact@thongsomboon-club.com</a></b></span><br />
<b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2"> </span></span></b>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-40909589043657817742011-09-20T00:20:00.000-07:002011-09-20T00:20:14.375-07:00เที่ยวเชิงเกษตรกับฟาร์มโชคชัย<div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-large;"><b><span class="style2">เที่ยวเชิงเกษตรกับฟาร์มโชคชัย</span></b></span></div><div style="text-align: center;"><b><span style="font-size: small;"><span class="style2">เที่ยวเชิงเกษตรกับฟาร์มโชคชัย</span> </span></b> <span style="font-size: x-small;"><b><span style="color: blue; font-size: small;"></span></b></span></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><b><span style="color: blue; font-size: small;"><img alt="" height="145" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712232050411..jpg" width="350" /></span></b></span></div><span style="font-size: x-small;"><b><span style="color: blue; font-size: small;"><span style="color: black;"><span style="color: blue;">ฟาร์มโชคชัย อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา<br />
</span> ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ-ปากช่อง กิโลเมตรที่ 159 เป็นฟาร์มโคนมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในทวีป เอเชีย เปิดกิจการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายในฟาร์มท่านจะได้เรียนรู้นับแต่การผลิต น้ำนมดิบ การเลี้ยงโคนม การรีดนม และกิจกรรมสนุกสนานที่โรงคาวบอย<br />
<br />
ชมสวนสัตว์เปิด เพลิดเพลินกับการให้อาหารสัตว์และป้อนนมลูกโค นอกจากนี้ยังมีบูติกแคมป์ เต็นท์ติดแอร์ที่เจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการพักผ่อนแบบเน้นสร้างสมาธิ กลับสู่วิถีธรรมชาติ สร้างความแตกต่างจากรีสอร์ทอื่นๆ <br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="263" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071223205040..jpg" width="350" /></div><br />
<strong>สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 2998 9381-5 ต่อ 150-157</strong></span><strong></strong><a href="http://www.farmchokchai.com/"><strong></strong></a></span></b><b><span style="font-size: small;"><strong> </strong></span></b><br />
<br />
<br />
</span><span style="font-size: x-large;"><b><span class="style2"> </span></b></span>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-39853068448369218772011-09-20T00:19:00.000-07:002011-09-20T00:19:13.178-07:00เที่ยวเขาใหญ่ ชมสัตว์ป่าไทย<div style="text-align: center;"><b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2">เที่ยวเขาใหญ่ ชมสัตว์ป่าไทย</span></span></b></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><span class="style2">เที่ยวเขาใหญ่ ชมสัตว์ป่าไทย</span> </b></span> <span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><span style="color: teal;">อุทยาน แห่งชาติเขาใหญ่มีเนื้อที่ประมาณ 2,168 ตารางกิโลเมตรในเทือกเขาพนมดงรัก ครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา นครนายก สระบุรี และปราจีนบุรี ป่าเขาใหญ่สมัยก่อนได้รับสมญานามว่า ดงพญาไฟ ที่ทั้งโหดทั้งดิบ<br />
<br />
สำหรับ ผู้ที่ต้องเดินทางผ่านป่าผืนใหญ่ที่กั้นแบ่งเขตภาคกลางและภาคอีสาน จนกระทั่งเมื่อประมาณ พ.ศ. 2465 ได้มีชาวบ้านประมาณ 30 ครัวเรือนไปตั้งหลักแหล่ง ถางป่าทำนาทำไร่ สันนิษฐานว่าเป็นพวกที่หลบหนีคดีมา ต่อมาพื้นที่เขาใหญ่ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2505 และได้รับสมญาว่าเป็นอุทยานมรดกของอาเซียน<br />
</span></b></span></span></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><img alt="" height="323" src="http://images.thaiza.com/37/37_20091103163149..jpg" width="480" /><br />
<br />
<img alt="" height="348" src="http://images.thaiza.com/37/37_200911031631491..jpg" width="480" /></span></div><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b> สภาพทั่วไปของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ และป่าดิบชื้น บางส่วนของพื้นที่เป็นทุ่งกว้างสลับกับป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้ที่มีคุณค่ามากมายทั้งไม้เศรษฐกิจ ไม้หอม และสมุนไพรต่าง ๆ ภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อนประกอบด้วย เขาร่ม ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด 1,351 เมตร และยอดเขาอื่น ๆ ที่สำคัญมีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800-1,300 เมตร ได้แก่ เขาแหลม เขาเขียว เขาสามยอด เขาฟ้าผ่าสูง เขากำแพง เขาสมอปูนและเขาแก้ว <br />
<br />
ด้านทิศใต้และทิศตะวันตกเป็นที่สูงชัน ส่วนทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกพื้นที่ลาดลง จากระดับความสูงของพื้นที่และความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าดิบ ทำให้เขาใหญ่มีอากาศเย็นสบายแม้ในฤดูร้อน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 23 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวราวเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเขาใหญ่ มากที่สุด ส่วนในช่วงฤดูฝน สภาพธรรมชาติบนเขาใหญ่ชุ่มช่ำ ป่าไม้และทุ่งหญ้าเขียวขจีสดใส น้ำตกทุกแห่งไหลแรงเสียงดังก้องป่าให้ชีวิตชีวาแก่ผู้ไปเยือนแม้การเดินทาง จะค่อนข้างลำบาก แต่จำนวนนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย<br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="306" src="http://images.thaiza.com/37/37_200911031631492..jpg" width="480" /><br />
<br />
<img alt="" height="322" src="http://images.thaiza.com/37/37_20091103163209..jpg" width="480" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b> ป่าเขาใหญ่มีไม้มีค่าและพืชสมุนไพรนานาชนิดที่สมควรได้รับการดูแลอนุรักษ์ ไว้ พันธุ์ไม้ที่น่าสนใจ เช่น ไทร ซึ่งได้รับสมญานามว่า “นักบุญแห่งป่า นักฆ่าแห่งพงไพร” ผลของไทรเป็นอาหารให้สัตว์ป่าหลายชนิดรวมทั้งนกเงือก แต่ในขณะเดียวกันไทรก็เป็นต้นไม้ที่ต้องอิงอาศัยต้นไม้อื่นในการเจริญเติบโต จึงไปแย่งน้ำและอาหารทำให้ต้นไม้นั้นค่อย ๆ ตายไปในที่สุด เตยน้ำ เป็นไม้เลื้อยที่มีกลิ่นคล้ายตะไคร้ภายในมีท่อลำเลียงน้ำขนาดใหญ่สามารถนำมา ดื่มได้ สุรามริด ใช้ดองเหล้าแก้ปวดหลังปวดเอว กะเพราต้น เป็นไม้ใหญ่ยืนต้น แก้เจ็บท้องขับลม เงาะป่า ผลมีขนแข็งสีเหลืองแต่รับประทานไม่ได้ และ กฤษณา ไม้ซึ่งสามารถสกัดเปลือกไปทำเครื่องหอมได้ เป็นต้น <br />
<br />
สัตว์ป่าที่สามารถพบเห็นบ่อยได้แก่ เก้ง กวาง ตามทุ่งหญ้า นอกจากนี้ยังอาจพบช้างป่า หมีควาย หมูป่า ชะนี เม่น พญากระรอก หมาใน ชะมด อีเห็น กระต่ายป่า รวมทั้งเสือโคร่ง กระทิงและเลียงผาซึ่งก็มีถิ่นอาศัยอยู่ที่เขาใหญ่เช่นกัน อุทยานฯได้สร้างหอสูงสำหรับส่องดูสัตว์อยู่สองจุด คือ บริเวณมอสิงโตและหนองผักชี อนุญาตให้ขึ้นไประหว่างเวลา 8.00-18.00 น. บริเวณที่ตั้งหอดูสัตว์เป็นทุ่งหญ้าซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯจะเผาทุกปีเพื่อ ให้เกิดหญ้าอ่อน หรือหญ้าระบัดขึ้นสำหรับเป็นอาหารสัตว์ และยังมีโป่งดินเค็มที่เป็นแหล่งเกลือแร่ของสัตว์ต่าง ๆ อยู่ด้วย นักท่องเที่ยวที่ต้องการนั่งรถส่องสัตว์ในเวลากลางคืนสามารถติดต่อที่ทำการ อุทยานฯ ก่อนเวลา 18.00 น.<br />
<br />
เขาใหญ่ยังเหมาะเป็นที่ดูนกและผีเสื้อ จากการสำรวจ พบนกจำนวนไม่น้อยกว่า 293 ชนิด และมีอยู่ 200 ชนิด ที่พบว่าอาศัยป่าเขาใหญ่เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยอย่างถาวร นกที่น่าสนใจได้แก่ นกเงือกซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้ว่าป่านั้นยังคงความอุดมสมบูรณ์ ที่พบบนเขาใหญ่มีอยู่ 4 ชนิด นอกจากนั้นยังมีนกที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ นกขุนทอง นกขุนแผน นกพญาไฟ นกแต้วแล้ว นกโพระดก นกแซงแซว นกเขา นกกระปูด ไก่ฟ้า และนกกินแมลงชนิดต่างๆ ส่วนแมลงที่สวยงามและพบเห็นมากคือ ผีเสื้อซึ่งมีอยู่ประมาณ 5,000 ชนิด<br />
</b></span><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><img alt="" height="320" src="http://images.thaiza.com/37/37_200911031625101..jpg" width="480" /><br />
<br />
<img alt="" height="360" src="http://images.thaiza.com/37/37_20091103162510..jpg" width="480" /></b></span></div><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span><span style="font-size: small;"><b><span style="color: #3366ff;"> การเดินป่าศึกษาธรรมชาติ</span> มีเส้นทางให้เลือกกว่า 20 เส้นทาง ที่ต่างกันทั้งความงามของธรรมชาติ และระยะทาง ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินป่า ซึ่งมีตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมง เช่น เส้นทางศึกษาธรรมชาติกองแก้ว เส้นทาง กิโลเมตรที่ 33 (ถนนธนะรัชต์-หนองผักชี) หรือที่ต้องเข้าไปพักค้างแรมในป่า เช่น เส้นทางน้ำตกนางรอง-เขาใหญ่ เส้นทางเขาสมอปูน หรือเส้นทางหน่วยฯ ขญ.4-น้ำตกวังเหว เป็นต้น โดยสามารถติดต่อขอรายละเอียดและเจ้าหน้าที่นำทางได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว<br />
<br />
<span style="color: #3366ff;"> สถานที่น่าสนใจในเขตอุทยาน</span><br />
น้ำตกกองแก้ว เป็นน้ำตกเตี้ย ๆ ที่เกิดจากห้วยลำตะคองซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตจังหวัดนครนายก และนครราชสีมา ในฤดูฝนดูสวยงามมาก เหมาะแก่การเล่นน้ำ สามารถเข้าถึงได้โดยการเดินเท้าจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 100 เมตร มีสะพานเชือกทอดข้ามลำน้ำให้บรรยากาศการพักผ่อนที่กลมกลืนและบริเวณใกล้ๆ ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นสั้นๆ<br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกผากล้วยไม้</span> เป็นน้ำตกขนาดกลางในห้วยลำตะคองเช่นเดียวกัน ห่างจากที่ทำการฯประมาณ 7 กิโลเมตร สามารถเข้าถึงโดยทางรถยนต์และทางเดินเท้า บริเวณน้ำตกมีกล้วยไม้หวายแดงขึ้นอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของน้ำตกแห่งนี้และเป็นน้ำตกที่สายน้ำสองสายไหลผ่านชั้น หินทีละชั้นมาบรรจบกันจากน้ำตกผากล้วยไม้มีทางเดินไปน้ำตกเหวสุวัตได้<br />
<br />
<span style="color: green;"> น้ำตกเหวสุวัต</span> เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ตั้งอยู่สุดถนนธนะรัชต์ รถเข้าถึง จากลานจอดรถเดินลงไปเพียง 100 เมตร หรือจะเดินเท้าต่อจากน้ำตกผากล้วยไม้ไปประมาณ 3 กิโลเมตร จะได้ เห็นสายน้ำตกลงมาจากหน้าผาสูงราว 20 เมตร มีจุดชมน้ำตกในระยะไกลที่สามารถมองผ่านแมกไม้เห็นภาพของน้ำตกทั้งหมดในมุม สูงได้สวยงาม หรือหากต้องการสัมผัสกับสายน้ำตกและแอ่งน้ำด้านล่าง ก็มีทางเดินลัดเลาะลงไปได้ แต่ในช่วงฤดูฝนน้ำจะมาก ไหลแรง และเย็นจัดควรระมัดระวังอันตราย<br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกเหวไทร-เหวประทุน</span> จากน้ำตกเหวสุวัตมีป้ายบอกทางเดินต่อไปยังน้ำตกสองแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ไม่ ไกลกันนัก เป็นสายน้ำที่เชื่อมต่อกับน้ำตกเหวสุวัต ทางลงสู่น้ำตกชันมากและลื่นโดยเฉพาะหลังฝนตก บรรยากาศโดยรอบร่มรื่นมาก หากเดินไปอย่างเงียบ ๆ ระหว่างทาง อาจได้พบกับสัตว์เล็ก ๆ เช่น นก กระรอก น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุดของอุทยานฯ อยู่ห่างจากที่ทำการฯลงมาทางทิศใต้ทางที่จะลงไปปราจีนบุรี โดยต้องเดินเท้าแยกจากทางสายหลักไปประมาณ 1 กิโลเมตร ถึงจุดชมวิวที่มีมุมมองเห็นน้ำตกได้สวยงาม น้ำตกมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกสูงประมาณ 60 เมตร เมื่อน้ำไหลผ่านหน้าผาชั้นนี้จะพุ่งลงสู่หน้าผาชั้นที่ 2 และ 3 ที่อยู่ถัดลงไปใกล้ ๆ กันในลักษณะชันดิ่ง 90 องศา รวมความสูงไม่ต่ำกว่า 150 เมตร ในฤดูฝนสายน้ำที่ไหลทะลักไปสู่หุบเหวเบื้องล่างจะแรงมากจนน่ากลัวและเมื่อ กระทบหินเบื้องล่างจะแตกกระเซ็นสร้างความชุ่มชื้นไปทั่วบริเวณ บริเวณน้ำตกเหวนรกเป็นเขตหากินของช้างป่า ซึ่งช้างมักจะไม่เปลี่ยนเส้นทางหากิน จึงมักเกิดเหตุโศกนาฎกรรมช้างพลัดตกเหวอยู่เนือง ๆ<br />
<br />
<span style="color: green;">น้ำตกไม้ปล้อง</span> เป็นน้ำตกที่พบมานานแต่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ มีทั้งหมด 5 ชั้น ลดหลั่นกันลงมา ชั้นสูงสุดไม่เกิน 12 เมตร มีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำตกเหวนรก หรือน้ำตกเหวสุวัต ตลอดเส้นทางเดินเท้าเรียงรายด้วยโขดหินเล็กใหญ่และลำธารที่สวยงาม การเดินทางไปน้ำตกนี้เริ่มต้นที่วังตะไคร้ จังหวัดนครนายกโดยต้องเดินเท้าระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร ติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางได้ที่หน่วยพิทักษ์ฯ ขญ.9 (นางรอง) <br />
<br />
<span style="color: #3366ff;">การเดินทาง</span> อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 205 กิโลเมตร สามารถไปได้ 2 เส้นทางคือ แยกจากถนนมิตรภาพตรง กิโลเมตรที่ 56 ไปตามถนนธนะรัชต์ประมาณ 23 กิโลเมตร อีกเส้นทางหนึ่งคือ จากกรุงเทพฯ-แยกหินกอง แล้วไปตามทางหลวงหมายเลข 33 (นครนายก-ปราจีนบุรี) ถึงสี่แยกเนินหอมใช้ทางหลวง 3077 ไปถึงเขาใหญ่ เส้นทางที่สองค่อนข้างชันเหมาะที่จะใช้เป็นทางลงมากกว่า หากโดยสารรถประจำทางจากกรุงเทพฯ ให้ลงที่อำเภอปากช่องแล้วต่อรถสองแถวขึ้นเขาใหญ่ บริเวณหน้าตลาดปากช่องรถจะไปถึงตรงแค่ด่านเก็บเงิน ค่ารถ 15 บาท มีบริการระหว่างเวลา 6.00-17.00 น. จากนั้นต้องโบกรถขึ้นไปยังที่ทำการฯ หรือจะเช่ารถจากปากช่องเลยก็ได้ <br />
<br />
<span style="color: #3366ff;">ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก</span> บริเวณผากล้วยไม้จัดเป็นสถานที่ตั้งเต็นท์พักแรม ซึ่งรับนักท่องเที่ยวได้กว่า 1,000 คน เสียค่าธรรมเนียม เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 20 บาท/คืน มีร้านค้าสวัสดิการขายอาหาร และมีเต็นท์และเครื่องนอนให้เช่า นอกจากนั้นยังมีค่ายพักบริการอีก 2 แห่งคือ ค่ายพักกองแก้ว และค่ายพักเยาวชน ซึ่งรับนักท่องเที่ยวได้ รวม 250 คน และเสียค่าธรรมเนียมคนละ 30 บาท ไม่มีเครื่องนอนให้ ติดต่อขออนุญาตที่ที่ทำการฯก่อนเวลา 18.00 น. <br />
<br />
สอบถามรายละเอียดที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช โทร. 0 2562 0760 หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปณ.9 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130 </b></span><a href="http://www.dnp.go.th/"></a> <br />
</span><b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2"> </span></span></b>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-47912975508143983522011-09-20T00:18:00.000-07:002011-09-20T00:18:02.566-07:00สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<div style="text-align: center;"><b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2">สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</span></span></b></div><div style="text-align: center;"><span class="style2">สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</span> </div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: x-small;"><img alt="" height="287" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071220154755..jpg" width="450" /></span></div><span style="font-size: x-small;"><span style="font-size: small;"><b>สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมือง จ.นครราชสีมา<br />
เป็น พิพิธภัณฑ์แห่งแรกของประเทศไทยและแห่งแรกของภูมิภาคเอเซียที่มีการจัดแสดง นิทรรศการและซากดึกดำบรรพ์ หรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายและสมบูรณ์ที่สุด ด้วยเทคนิคที่น่าสนใจ ทั้งภาพ แสง สี เสียง รวมทั้งมีมุมกิจกรรมสำหรับเด็กในพื้นที่ 80 ไร่ ประกอบด้วย อาคารพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิ <br />
<br />
<span style="color: #3366ff;"> - พิพิธภัณฑ์ไม้กลายเป็นหิน พบกับพรรณไม้ดึกดำบรรพ์ขนาดใหญ่ อายุประมาณ 8 แสนปี ถึง 720 ล้านปี ภาพยนตร์เกี่ยวกับกำเนิดโลกและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต สัมผัสไม้กลายเป็นหินขนาดใหญ่เนื้ออัญมณีสีสันสวยงาม ความเชื่อ และภูมิปัญญาไทยกับไม้กลายเป็นหิน - พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ จัดแสดงนิทรรศการอุโมงค์ย้อนเวลาปัจจุบันสู่อดีต จากยุคหินใหม่อายุราว 3,000 ปีจนถึงสมัยช้างดึกดำบรรพ์ 4 งา เมื่อกว่า 10 ล้านปีก่อน ชมสารคดีวีดีทัศน์โลกล้านปี บนจอสกรีนโปร่งแสง พร้อมโครงกระดูกและหุ่นจำลองของช้างโคราช 4 งา ซึ่งเคยขุดค้นพบในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และซากฟอสซิลอื่น ๆ อีกมากมาย <br />
<br />
- พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ จัดแสดงภาพการต่อสู้ของไดโนเสาร์ในห้องฉายวีดิทัศน์ 360 องศา หุ่นจำลองไดโนเสาร์ที่สามารถเคลื่อนไหวได้ และฟอสซิลไดโนเสาร์ที่ขุดค้นพบในโคราช เช่น อิกัวโนดอน สยามโมไทรันนัส ฯลฯ <br />
<br />
นอกจากนี้ยังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่เด่นของ อีสาน การพัฒนาทรัพยากร การกำเนิดภูเขาไฟ ผลกระทบจากการชนโลกของอุกกาบาตหรือดาวหางต่อไดโนเสาร์หรือช้างดึกดำบรรพ์ เป็นต้น</span> <br />
<br />
การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 304 (นครราชสีมา-ปักธงชัย) ระยะทาง 19 กิโลเมตร เลี้ยวขวากิโลเมตรที่ 121 เข้าไปทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (ประตูที่ 2) อีก 2 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลี่ยงเมืองสายมิตรภาพ-หนองปลิงอีก 1 กิโลเมตร <br />
<br />
ติดต่อ สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เลขที่ 184 ถนนมิตรภาพ-หนองปลิง หมู่ 7 บ้านโกรกเดือนห้า ต.สุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา 30000 โทรศัพท์ 0 4421 6617-8, 0 4421 6620-1, 0 4425 4000 ต่อ 1202 โทรสาร 0 4421 6617 ต่อ 1111 อีเมล์ petrifiedwood_museum@hotmail.com <br />
<br />
หมายเหตุ - ขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ผู้สนใจเข้าชมทางศูนย์วิจัยมีเจ้าหน้าที่ และเอกสารต่างๆ ให้บริการทุกวัน ระหว่างเวลา 8.30 - 16.30 น. </b></span></span><div style="text-align: center;"><br />
</div>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-25004672101945040472011-09-20T00:16:00.001-07:002011-09-20T00:16:25.987-07:00เก็บฟักทองสีทองกับจิมทอมป์สันฟาร์ม<div style="text-align: center;"><b><span style="font-size: x-large;"><span class="style2">เก็บฟักทองสีทองกับจิมทอมป์สันฟาร์ม</span></span></b></div><div style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><span class="style2">เก็บฟักทองสีทองกับจิมทอมป์สันฟาร์ม</span> </b></span> </div><div align="left" style="text-align: center;"><span style="font-size: small;"><b><br />
</b></span></div><span style="font-size: small;"><b><span style="color: green;">จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม</span> ตั้งอยู่ที่เชิงเขาพญาปราบ ตำบลตะขบ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ห่างจากตัวอำเภอปักธงชัยที่มีชื่อเสียงในเรื่องผ้าไหมประมาณ 25 กิโลเมตร เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อปี 2531 เป็นฟาร์มที่ดำเนินการด้วยเทคโนโลยีการเกษตรทันสมัย บนเนื้อที่กว่า 600 ไร่ ผลิตไข่ลูกผสมจำหน่ายให้สมาชิกเกษตรกรเลี้ยงไหมทั่วประเทศ <br />
<br />
ภายในบริเวณปลูกต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมเป็นพืชหลัก นอกจากนี้ ยังผลิตพืชผักผลไม้คุณภาพอีกมากมายหลายชนิด รวมทั้งฟักทองที่มีขนาดและรูปร่างแบบต่างๆ <br />
<br />
จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม เริ่มเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรเมื่อปี พ.ศ.2542 โดยเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมปีละครั้งในราวเดือนธันวาคม <br />
<br />
<div style="text-align: center;"><img alt="" height="248" src="http://images.thaiza.com/37/37_200712201535581..jpg" width="450" /></div><br />
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมได้ที่ โทร. 0-4437-3116-7 หรือดูรายละเอียดได้ที่ <a href="http://www.jimthompsonfarm.com/">http://www.jimthompsonfarm.com</a> </b><b><div align="left"><br />
<br />
<strong>การเดินทาง</strong> <br />
-จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 จนถึงต่างระดับสี่คิ้ว และใข้เส้นทางหมายเลข 24 ประมาณ 12 กม. จนถึงสี่แยกบริเวณร้านอาหารตอไม้ เลี้ยวขวาไปตามถนนมะเกลือใหม่ ผ่านสถานีอนามัยบ้านน้ำซับ ถีงคลองชลประทานเลี้ยวซ้ายฝ่านเทศบาลตำบลตะขบ ถึงแยกบ้านตะขบ เลี้ยวซ้ายข้ามคลองชลประทานอีกครั้ง จากนั้นใช้ถนน 2072 อีก 1 กม. ถึงฟาร์ม <br />
<br />
- จากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางวังน้ำเขียว-บ้านบะใหญ่ ทางหลวง 304 เลี้ยวซ้ายหลัก กม.ที่ 85-86 ตามถนนบะใหญ่-มะเกลือใหม่ ถึงแยกตัดกับถนนเลียบคลองชลประทาน เลี้ยวขวา ผ่านเทศบาลตะขบ ถึงแยกบ้านตะขบ เลี้ยวซ้ายข้ามคลองชลประทาน ใช้ถนน 2072 อีก 1 กม.ถึงฟาร์ม - จากโคราช ใช้เส้นทางหลวง 304 จนถึงสี่แยกลำพระเพลิง ตรงไปอีก 3 กม. เลี้ยวขวาตามถนน 2072 ผ่านเทคนิคปักธงชัย จนถึงแยกตัดกับถนนเลียบคลอง ข้ามคลองชลประทาน ผ่านโรงเรียนลำพระเพลิงพิทยาคม จิมทอมปืสันฟาร์มอยู่ติดกับโรงเรียน </div><div align="left" style="text-align: center;"><img alt="" height="338" src="http://images.thaiza.com/37/37_20071220153558..jpg" width="450" /></div><div align="left"><br />
</div></b></span><div style="text-align: center;"><br />
</div>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-84981998291904211662011-09-08T23:00:00.000-07:002011-09-08T23:00:59.642-07:00ตะลึง!!กล้วยไม้ป่าช้างกระ ที่วัดป่ามัญจาคีรี สวยงามมาก<div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="background-color: white; font-family: tahoma;"><span class="Apple-style-span" style="color: #c27ba0; font-size: x-large;"><b> <span class="style2">ตะลึง!!กล้วยไม้ป่าช้างกระ ที่วัดป่ามัญจาคีรี</span></b></span></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmGGcItw_ZST5YD4Yu43p1vuAfHcovIaDIMvF4JAiaXT0EOOZXDhyLcL14FDupBfFmzOimM7sT532WWlOeI8KCU_NPuVHyNuw0ZEzpPx8KqVVsGh4lo-qxr_gCMkmoKv0qbYV2CdXfbmg/s1600/%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2587%2521%2521%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0+%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmGGcItw_ZST5YD4Yu43p1vuAfHcovIaDIMvF4JAiaXT0EOOZXDhyLcL14FDupBfFmzOimM7sT532WWlOeI8KCU_NPuVHyNuw0ZEzpPx8KqVVsGh4lo-qxr_gCMkmoKv0qbYV2CdXfbmg/s1600/%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2587%2521%2521%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25A2%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%258A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0+%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%258D%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5.jpg" /></a></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="background-color: white; color: #666666; font-family: tahoma;"><b>อยู่บนถนนสายมัญจาคีรี-ชนบท ห่างจากตัวอำเภอมัญจาคีรี 1 กิโลเมตร หรือห่างจากขอนแก่นประมาณ 57 กิโลเมตร บริเวณวัดเป็นเนินดินขนาดใหญ่กลางทุ่ง มีพื้นที่ประมาณ 15 ไร่<br />
<br />
บริเวณวัดมีต้นไม้เก่าแก่จำนวนมากที่มีอายุหลายร้อยปี โดยเฉพาะต้นมะขาม และยังมีต้นตะโก กระถินป่า รวมประมาณ 280 ต้น มีกล้วยไม้ป่าพันธุ์ช้างกระเกาะอยู่ตามกิ่งไม้และเจริญพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 4,000 ต้น<br />
<br />
กล้วยไม้เหล่านี้จะเริ่มออกช่อในราวเดือนธันวาคมและดอกสีชมพูขาวจะชูช่อบานเต็มที่ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ไปทั่วบริเวณ </b></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="background-color: white; font-family: tahoma;"><span class="Apple-style-span" style="color: #c27ba0; font-size: x-large;"><b><span class="style2"><br />
</span></b></span></span></div>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-7307242365961009542.post-79164200911906402472011-09-08T22:53:00.000-07:002011-09-08T22:53:21.258-07:00บ้านสุขาวดี อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="color: #e06666; font-size: x-large;"><b>บ้านสุขาวดี อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี</b></span></div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUmhvUdk0PWByXa3BWOI7ob2TJU0V_hATHG_oaKtps17kYWCAIoncvixZqFlUH6PDmBJnPf_BgMopsDDdI_wggbGzshUrBO350eeM2ZBdKTpHqw0oQKa_d5zJpUIMQ4hpr6sEsBthDUCo/s1600/%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5+%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%2588.%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUmhvUdk0PWByXa3BWOI7ob2TJU0V_hATHG_oaKtps17kYWCAIoncvixZqFlUH6PDmBJnPf_BgMopsDDdI_wggbGzshUrBO350eeM2ZBdKTpHqw0oQKa_d5zJpUIMQ4hpr6sEsBthDUCo/s1600/%25E0%25B8%259A%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B5+%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B3%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2587+%25E0%25B8%2588.%25E0%25B8%258A%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%259A%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B5.jpg" /></a></div><div style="text-align: center;">บ้านสุขาวดี อำเภอบางละมุง จ.ชลบุรี</div><div style="text-align: center;"><br />
</div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="background-color: white; color: #666666; font-family: tahoma;"><b> เป็นคฤหาสน์ริมทะเลพัทยาของ ด.ร.ปัญญา โชติเทวัญ เจ้าของสหฟาร์ม ตกแต่งภายในบ้านและสวนภายนอกสวยงาม สามารถเยี่ยมชมและสักการะรูปเคารพสำคัญต่าง ๆ ในบริเวณ อาทิ พระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ของบริษัท อาหารและของที่ระลึกจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-18.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 100 บาท เด็ก 50 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท<br />
<br />
การเดินทาง บ้านสุขาวดีจะอยู่ติดถนนสุขุมวิท ด้านฝั่งชายทะเล ใกล้กับโรงแรมชลจันทร์ และอยู่ไม่ห่างจากที่ว่าการอำเภอบางละมุง สอบถามรายละเอียดได้ที่ </b></span></div><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="background-color: white; color: #666666; font-family: tahoma;"><b>โทร. 0 3822 3545,0 3822 3235</b></span></div>moonoihttp://www.blogger.com/profile/12414195468641138210noreply@blogger.com0